สกอ. โดยโครงการ HERP – NRU จัดการประชุมสุดยอดมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ครั้งที่ ๑ ในวันที่ ๒๙ - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยในตอนบ่ายวันที่ ๒๙ ผมไปร่วมอภิปรายเรื่อง การผลิตผลงานวิจัยเพื่อรับใช้สังคมและตำแหน่งทางวิชาการร่วมกับผู้อภิปรายอีก ๔ ท่าน คือ ศ. ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง, รศ. ดร. เปรื่อง กิจรัตน์ภร, ดร. สว่าง ภู่พัฒนวิบูลย์, รศ. ดร. นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ และมี ศ. ดร. เกตุ กรุดพันธ์ เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย
ดร. เกตุ กำหนดโจทย์ให้อภิปราย ๓ ข้อ คือ
๑. ข้อสังเกตเกี่ยวกับงานวิจัยเพื่อรับใช้สังคมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ผ่านมาแล้ว และที่ควรจะเกิดขึ้น พร้อมแนวคิดในการวัด/วิเคราะห์คุณภาพของงานวิจัยทางด้านนี้ (ที่อาจแตกต่างไปจากงานวิจัยมุ่งเน้นการตีพิมพ์)
๒.“งานวิจัย” และ “งานบริการวิชาการ” มีความต่าง และความเชื่อมโยงกันอย่างไร
๓.“งานวิจัยเพื่อรับใช้สังคมและการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ” ตามพันธกิจของกลุ่ม ๔ กลุ่ม อุดมศึกษา ควรเป็นอย่างไร
ผมสรุปย่อสาระจากการอภิปราย ว่างานวิจัยสายรับใช้สังคมมีการทำมานานแล้ว แต่ไม่มีการแยกสายออกมาชัดเจน งานวิจัยประเภทนี้เป็นการวิจัยใช้ความรู้ หรือ translational research หรือ implementation research และต้องทำในทุกประเภทของมหาวิทยาลัย
มีงานวิจัยที่มีการทำอยู่มาก ที่เป็นการรับจ้างทำวิจัย ส่งผลงานให้ผู้จ้าง รับเงินแล้วจบ ไม่มีผลงอกเงยทางวิชาการ มหาวิทยาลัยควรมีการจัดการให้งานวิจัยประเภทนี้มีการจัดการต่อยอดเป็นผลงานวิชาการด้วย
คณาจารย์จำนวนหนึ่งที่มาร่วมโฟกัส กรุป ๔ ภูมิภาค ของคณะทำงานศึกษาลักษณะของผลงานวิชาการรับใช้สังคม ที่แต่งตั้งโดย กพอ. ระบุปัญหาหลัก ๒ ประการ คือ (๑) ไม่มีประสบการณ์ที่จะเริ่มจากโจทย์ในพื้นที่ และไม่มีที่ปรึกษาหรือ mentor (๒) ทำแล้วไม่ได้อะไร ไม่มีการยอมรับเป็นผลงานวิชาการ
เมื่อคณะทำงานไปศึกษาข้อบังคับว่าด้วยผลงานวิชาการ สำหรับขอตำแหน่งทางวิชาการ พบว่ามีการยอมรับอยู่แล้ว เรียกว่า “ผลงานทางวิชาการในลักษณะอื่น” แต่ไม่มีการขยายความหรือส่งเสริม
คณะทำงานนิยามผลงานวิชาการสายรับใช้สังคม ว่าต้องมี ๒ ส่วน คือ (๑) มีการใช้ความรู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น และ (๒) เห็นผลเป็นที่ประจักษณ์แก่สาธารณะ
การนำผลการวิจัยรับใช้สังคมมาเป็นหลักฐานขอตำแหน่งวิชาการต้องเอกสารหลักฐานที่สะท้อนงานตั้งแต่ต้นจนจบ มีการตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม และมีการรับรองจากสถาบันต้นสังกัด หรือจากแหล่งทุนว่ามีการทำจริง มีการเสนอแนะว่า ต้องทำให้ผลงานปรากฎแก่สาธารณะ เช่นอยู่ในฐานข้อมูลบนเว็บ เพราะงานแบบนี้อาจมีการดำเนินการในหลายที่พร้อมๆ กัน
การนำผลงานมาพิจารณา เน้นพิจารณาบทบาทของผู้นั้น ว่ามีบทบาทอย่างไรต่อผลงาน ไม่ใช่แบ่งผลงานเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยผลงานต้องสะท้อนความก้าวหน้าทางวิชาการของผู้นั้น พิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งผมชี้ว่าต้องเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่มีฐานวิชาการกว้าง ไม่ใช่ผู้ทรงคุณวุฒิแนวลึก เพราะงานวิจัยรับใช้สังคมมีธรรมชาติเป็นพหุสาขา
ตามหลักการ 21st Century Learning ซึ่งเน้นเรียนแบบ PBL สามารถออกแบบการทำงาน ด้านเรียนรู้ วิจัย และบริการวิชาการ ให้เป็นงานชิ้นเดียวกันได้ มหาวิทยาลัยควรพัฒนาขีดความสามารถในการบูรณาการภารกิจทั้งสาม ซึ่งจะมีผลพลอยได้เป็นรายได้เข้าสถาบันด้วย
ผมพยายามชี้แนวทางที่แต่ละมหาวิทยาลัยจะพัฒนาขีดความสามารถในการทำงานวิจัยสายรับใช้สังคม โดย
๑. ให้การพัฒนาอาจารย์ใหม่ ของมหาวิทยาลัยที่เน้นการวิจัยแบบนี้เป็นหลัก บรรจุการฝึกทักษะของการวิจัยแบบนี้ด้วย
๒. มีระบบการจัดการเพื่อส่งเสริมการวิจัยรับใช้สังคม
- การจัดการงานบริการวิชาการ หรืองานพัฒนา เพื่อให้ต่อยอดเป็นงานวิจัยสายรับใช้สังคมได้
- การจัดการความสัมพันธ์กับพื้นที่ / ชุมชน / สถานประกอบการ รวมทั้งจัดการความสัมพันธ์กับภาคีในการทำงานวิจัยรับใช้สังคม เช่น ความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยอื่น
- การจัดการโจทย์พัฒนา ให้เป็นโจทย์วิจัย
- การจัดการผลงานพัฒนา ให้ต่อยอดเป็นผลงานวิจัยสายรับใช้สังคม
- การจัดการวารสารแบบใหม่ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยรับใช้สังคม
๓. ระบบการจัดการเพื่อสร้างการยอมรับงานวิชาการหลากหลายด้าน ได้แก่ด้านการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักศึกษา ด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคน ด้านการพัฒนานโยบายสาธารณะ เป็นต้น
ไม่มีใครตอบโจทย์ข้อ ๓ ของ ดร. เกตุโดยตรง ผมจึงนำมาตอบในที่นี้ว่า ผลงานวิจัยเพื่อรับใช้สังคม ของอาจารย์สังกัดมหาวิทยาลัยต่างกลุ่มกันใน ๔ กลุ่ม น่าจะแตกต่างกันได้ในด้านความเข้มข้นของคุณภาพ และผลกระทบต่อสังคม/ชุมชน/ผู้ได้รับประโยชน์ โดยมีเกณฑ์ขั้นต่ำกำหนดไว้กว้างๆ มหาวิทยาลัยที่ต้องการยกระดับคุณภาพของตน ก็กำหนดเกณฑ์เอาเอง ผมไม่รับรองว่าความคิดเห็นของผมนี้ เป็นสิ่งถูกต้อง
มีคนถามว่า หากไปทำงานวิจัยรับใช้ชุมชนที่ ๑ ได้ผลดี ต่อมาชุมชนที่ ๒ ขอให้ไปดำเนินการอีก จะถือเป็นผลงานเดียวหรือ ๒ ผลงาน ผมชี้ให้ที่ประชุมเห็นว่า ถ้าผมเป็นผู้ทำงานนั้น ผมจะหาทางทำเพิ่มให้เป็น ๓ - ๔ ชุมชน แล้ววิเคราะห์สังเคราะห์รวมเป็นรายงานผลการวิจัยชิ้นเดียวที่มีคุณภาพสูงมาก เราควรเน้นให้น้ำหนักคุณภาพของผลงาน มากกว่าจำนวนผลงาน
ผู้ถามท่านนี้ ใช้คำว่า “ไปช่วย” ชุมชน ผมมีความเห็นว่า การทำงานวิชาการรับใช้สังคมไม่ควรใช้ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์หรือช่วยเหลือ แต่ควรใช้ท่าทีของความร่วมมือ และความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกัน และเคารพซึ่งกันและกัน นักวิชาการต้องเข้าไปร่วมทำงาน และร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ไม่ใช่เข้าไปถ่ายทอดความรู้แก่ชาวบ้าน โดยต้องตระหนักว่า มีหลายเรื่องที่ชาวบ้านรู้ดีกว่าเรา และเราควรเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นจากชาวบ้าน
วิจารณ์ พานิช
๒๙ เม.ย. ๕๕
เห็นด้วยในหลายๆ ประเด็นค่ะอาจารย์ โดยเฉพาะนิยามของคำว่า ผลงานวิชาการสายรับใช้สังคม ที่มีลักษณะที่สำคัญสองอย่างคือ มีการใช้ความรู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น และเห็นผลเป็นที่ประจักษณ์แก่สาธารณะ
หากเพิ่มเป็นว่า มีการใช้ความรู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ดีขึ้น และเห็นผลเป็นที่ประจักษณ์แก่สาธารณะอย่างต่อเนื่อง ก็จะชัดเจนมากขึ้นค่ะ
ขอบคุณค่ะ