วัดป่าในภาคอีสานมีจำนวนมากแต่ละแห่งจะมีแนวปฏิบัติที่แตกต่างกันแต่มีเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งเป็นกุศโลบายหรือกลวิธีในการคัดสรรคนเข้าสู่ความเป็นพระวัดป่า ใครที่เบื่อหน่ายชีวิตในครอบครัว ในสังคม หรือพวกส.ส.เบื่อหน่ายสภาฯ คิดว่าจะเข้าไปสงบใจในวัดป่า ก็ลองดู ขั้นแรกท่านจะต้องฝึกอดทนกับความเป็นอยู่ของฆราวาสในบริบทของความเป็นป่า รับใช้พระแบบไม่ต้องสอบถามอะไรมาก (ให้ดูและก็ทำตาม) เป็นแบบโบราณวิธี ใครทนไม่ไหวก็ต้องขอกราบลาท่านไป ไม่ต้องเสียเวลานุ่งขาวห่มขาวให้เปื้อน (เพราะใจไม่อยู่แล้ว)
คนที่อดทนได้แสดงถึงการมีความตั้งใจจริง เบื่อจริงๆ หนักแน่นแนวแน่จริง ก็จะให้ทดสอบในขั้นสูงขึ้นไปตามหลักเสขิยวัตรในความเป็นคฤหัสถ์ ท่านทนผ่านหนึ่งเดือน สามเดือน หรือ๖ เดือน เมื่อนั้นแหละท่านจึงจะได้เข้าสู่ร่มกาสาวภัสด์ เมื่อเป็นพระแล้วท่านมุ่งให้ฝึกฝนตนเองด้วยตนเอง จากการศึกษาแนวปฏิบัติของหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ทองรัตน์ หลวงปู่ชา ต่างก็มีกลวิธีในการสอนศิษย์ของตนเอง
พระวัดป่าจะสอนด้วยการยกอุทาหรจากเหตุการณ์ปัจจุบันหรือผลจากการปฏิบัติของศิษย์ หรือจากข้อสงสัยที่เกิดจากการปฏิบัติ แล้วจะอธิบายขยายความหรือการพาไปดูให้เห็น เช่นกรณีหลวงปู่ทองรัตน์ในหนังสือรัตนมณี ครั้งหนึ่งลูกศิษย์ต้องการอยากเห็นธรรมอันสูงสุด ท่านก็พาเดินไปหลังกุฏิ เห็นตอไม้ที่ถูกเผาเป็นสีดำ ท่านก็ถีบตอไม้นั้นจนตอถอน ท่านก็บอกว่า "นี่แหละคือธรรมอันสูงสุด" อีกกรณีหนึ่งเมื่อโยมมีความสงสัยจึงได่ถามหลวงปุู่ชาว่า คนตายแล้วไปไหน? หลวงปู่ชาหยิบเทียนขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้วจุดไฟ แล้วบอกให้โยมดู จากนั้นท่านก็ดับไฟ "ท่านถามโยมว่าไฟดับแล้วไปไหน?"
ลักษณะการสอนแบบนี้ทำให้คนใช้สติปัญญา ฟัง คิด จิตจดจ่อ ต่อตามและเติมเต็ม จะเห็นได้ว่าปัญญาอันปราดเปรื่องของพระวัดป่า ที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์อันตกพลึกจากจิตอันละเอียดอ่อน ท่านสอนด้วยวิธีการอันสุขุม ไม่ให้รู้สึกว่าถูกสอน หรือไม่ให้เสียหน้า ถามว่าท่านเหล่านี้ไปเล่าเรียนทฤษฎีตะวันตกมาหรือไม่ (เปล่า) นี้คือปราชญ์วนเมธาจารย์.
ไม่มีความเห็น