หน้าที่หนึ่งที่ครูเมตตาให้โอกาสรับใช้ในช่วงระหว่างที่ไปพักภาวนาที่วัดคือ
"นวดรักษาธาตุขันธ์"
ว่ากันโดยความสามารถที่มี เอาแบบตรงๆหนูก็ไม่เคยร่ำเรียนมาจากไหน แต่เมื่อก่อนเป็นคนขี้เมื่อยจึงชอบไปนวดในที่ต่างๆ หายบ้างช้ำบ้าง และบางช่วงบางตอนของชีวิตที่มักจะคลุกคลีกับยาแผนโบราณ ยาสมุนไพรและงานการแพทย์แผนไทยอยู่พอสมควร ห้องนวดแผนไทยจึงเป็นห้องวิ่งเล่นของหนูช่วงไปฝึกงาน ด้วยนิสัยชอบประจบเอาใจพ่อกับแม่ นวดให้ท่านบ้าง เหยียบบ้าง ก็เลยพอมีอะไรๆติดตัว ต้นทุนอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือ
"หนูเป็นผู้หญิงแข็งแรง นิ้วมือจึงแข็งไปด้วย"
เป็นต้นทุนที่ธรรมชาติให้มา แรกๆนวดให้ครู อารามกลัวด้วยทำไม่เป็นด้วย หนักไปทางใช้แรงมากกว่าความรู้สึก หนูทำผิวหนังบริเวณหลังของครูช้ำและเป็นรอยแผลทีเดียวค่ะ เห็นแล้วก็รู้สึกตกใจมากค่ะตอนนั้น ผนวกกับตอนนวดเล็บยาวด้วยคาดว่าอารามไม่มีสติทำให้คงจะจิกเล็บลงไป นวดไปครูก็ชี้แนะไปว่า
"โอเคไม่โอเค"
พบว่า
ที่ๆครูเมื่อย หนูไม่นวด ไปนวดในที่ๆท่านไม่เมื่อยแทน เป็นงั้นไป
นวดอยู่หลายครั้งหลายครา น้อยครั้งมากที่จะสติเต็มพร้อม ถามตรงๆว่ามีท้อไหม แปลกนะคะกับเรื่องนี้ที่ไม่ค่อยปรากฏความท้อ แต่เป็นความกังวลนั้นมีมาบ้าง อืมมีครั้งหนึ่งนวดๆให้ครูอยู่
"ป้าอบ"
ท่านเป็นครูสอนนวดเคยเรียนด้านศาสตร์ต่างๆของแพทย์แผนไทยมา สอนหนูในท่าของการนวดและลงน้ำหนัก พอลองใช้ท่าที่ท่านสอนนวดครูไปเรื่อยๆ
"ครูผ่อนคลายจนได้หลับ"
ตอนนั้นรู้สึกประทับใจมากค่ะ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกดีกับการนวดของตนเอง แต่พอครั้งถัดๆไปถ้าหนูกังวลหรือเผลอก็ยังนวดไม่ได้อยู่
หลังๆมาครูแนะนำว่าให้ฝึกสมาธิกับการนวด
"ถ้าสมาธิดีๆ ติ๋วจะนวดได้ดีมาก"
พยายามอยู่หลายครั้ง นวดๆไปพอหนูพูดหรือคุยก็จะนวดไม่โดนเส้น
จะระวังเรื่องนี้มากๆเพราะน้ำหนักมือที่ลงถ้ากดไม่ถูกเส้นครูอาจจะเจ็บและเป็นแผลได้ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ครูเมตตาเรียกให้นวดตอนกลางคืน แบบปิดไฟทำให้หนูได้ค้นพบว่า
"เวลาหนูหลับตาแล้วใช้ความรู้สึกสัมผัสไปที่กล้ามเนื้อและเส้น. จะเข้าถึงจุดที่เป็นปัญหาได้ดี ไม่กระแทกกระทั้น รู้สึกกับตนเองว่่านุ่มนวลขึ้น"
ทำให้นึกขึ้นได้ว่า
"คนตาบอดเขาคงใช้หลักการนี้ในการนวดคนไข้"
พอหนูลืมตาการรับรู้โดยใช้สัมผัสได้น้อยลง ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
เมื่อหนูหลับตาสัมผัส จะดึงลมหายใจเข้าลึกๆแบบเป็นอัตโนมัติ
แล้วจะค่อยๆกดลงพร้อมลมหายใจออก
จะรับรู้ได้ถึงเส้นภายในที่มีสภาวะตึงของร่างกายครู
บางทีหนูก็จะท่องพุทโธๆอยู่ข้างใน ณ จุดที่รู้สึกว่ากดยากและต้องใช้สมาธิ
การนวดสองครั้งล่าสุดค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆจนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาครูเอ่ยว่า
"ติ๋วไปเรียนนวดมาเหรอ นวดดีขึ้นมาก"
รู้สึกปีติดีใจกับคำชมของท่านค่ะ เพราะนวดแรกๆก็ยังมีความกังวลแต่พอค่อยๆนวดแล้วกังวลน้อยลง แค่นวดแบบตั้งใจให้ครูผ่อนคลายและหายจากอาการเจ็บปวด
อ้อครูแนะหนูอย่างหนึ่งว่า
"ไม่ต้องคิดอะไร แค่ตั้งใจนวดเพื่อให้เราหาย"
หนูจึงลองตั้งจิตอธิษฐานอยู่ข้างในว่า
"ขอให้การนวดของหนูทำให้ครูหายป่วย"
การตั้งจิตอธิษฐานเป็นส่วนหนึ่งที่ให้พลังกับหนูมากๆในการทำงานถวายครู ประหนึ่งการตกลงตั้งใจกับตนเองในการทำสิ่งนั้นๆอย่างจริงจัง แบบไม่ใช่การวอนขอ แต่เป็นการตั้งใจ
เป็นสิ่งชี้วัดชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยตั้งใจทำอะไรจริงจัง
มีแต่สักแต่ว่าทำๆไป มิน่าครูถึงเพ่งกะบาลเตือนสติบ่อยๆ แล้วในความโง่ของหนูก็พลอยน้อยอกน้อยใจจนทำอะไรไม่ได้ เวลาโง่เป็นแบบนี้จริงๆ
ก่อนหน้านี้ไม่เคยลองแต่พอได้ลองแล้วทำเรื่อยๆทำให้เห็นว่า เผชิญสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น ปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ดีขึ้น แม้จะยังคงมีข้อผิดพลาดอยู่แต่ใจก็ต่อต้านน้อยลงแล้วน้อมมาแก้ไขมากขึ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำถวายครู ณ ทุกวันนี้พยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพราะอะไรหน่ะเหรอค่ะ เคยทำแบบขอไปทีให้เสร็จไป ทำเสร็จแล้วก็รู้สึกทุกข์และกังวล บางทีทำด้วยความขุ่นมัว พลาดพลั้ง ผลกรรมก็จะแรงและได้รับทันที
แต่ถ้าทำได้ดีก็เป็นเสบียงบุญก้าวเดินต่อไปในเส้นทางแห่งการฝึกฝน
หนูจะไม่หนีอีกแล้วไม่ว่าอย่างไร ไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้ว่าเพราะอะไร แต่รับรู้กับตนเองว่ามีเส้นใยความสัมพันใจหนูเกี่ยวเนื่องกับครูอยู่มาก
หากพูดแบบทั่วๆไปก็น่าจะเป็นสายบุญ ในแบบไหนตอนนี้ใจตอบรับว่า
"ในฐานะผู้รับใช้ กองหนุนหรือ รองมือรองตีนนั่นเอง"
ครูเคยเอ่ยว่า "กำลังทำภารกิจใหญ่ อาจจะต้องแลกด้วยชีวิต"
ตอนนั้นใจก็ตอบรับอยู่ภายในว่า "หนูเอาด้วยค่ะ"
ดูเหมือนหนูจะเป็น "ผู้นำแหน่" อยู่เรื่อย
แต่ก็นี่แหละค่ะ ครูเมตตาย้ำกับหนูว่า "อาจจะต้องตายนะ"
"ตายก็ยอมค่ะ"
"คนที่จะทำงานกับเราได้ต้องมี ศีล สมาธิและปัญญา"
ตอนนั้นยอมรับว่าใจหนูเหี่ยวลงเลยค่ะ เพราะศีลก็ยังกระพร่อง กระแพร่ง สมาธิก็ยิ่งน่าห่วง ปัญญาก็น้อย สำรวจเข้ามาตอนนั้นก็รู้สึกถอนใจกับตนเองแล้วก็มีเสียงว่า
"น่าแสดงว่าต้องฝึกเพิ่มมากๆ"
ไม่รู้ว่าต้องฝึกไปอีกแค่ไหนแต่ก็จะทำจนกว่าจะพอค่ะครู
ไม่มีความเห็น