วิถีแห่งความเคยชิน:
อุปสรรคการพัฒนาการสอนภาษาไทย
เฉลิมลาภ ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประสบการณ์เดิมอาจช่วยเสริมการเรียนรู้ครั้งใหม่ก็จริง
แต่ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตดังกล่าว
ก็อาจกลายมาเป็นอุปสรรคที่ยับยั้งมิให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ก็เป็นได้
หากลองสังเกตบุคคลที่ใกล้ชิด เราก็จะพบว่าเขาผู้นั้นมักจะแก้ปัญหาใดๆ
ก็ตาม โดยอาศัยประสบการณ์เดิม
หรือยึดแนวทางที่ได้เคยสังเกตผู้อื่นกระทำต่อปัญหาในลักษณะเดียวกันกับตน
ซึ่งทำให้ในที่สุดแล้ว
บุคคลจะแก้ปัญหาเดิมด้วยวิธีการหรืออุปกรณ์อย่างเดิม
โดยมิได้พยายามที่จะหาวิธีการใหม่
เพื่อเข้ามาดำเนินการกับปัญหาเดิมดังกล่าว ที่เป็นเช่นนี้
อาจเป็นเพราะบุคคลผู้นั้นตกอยู่ภายใต้วิถีแห่งความเคยชิน
อันก่อให้เกิดอุปสรรคซึ่งทำให้เขามิสามารถที่จะมองปัญหาเดิมด้วยมุมมองใหม่ได้
การตกอยู่ภายใต้วิถีแห่งความเคยชิน
ในทางจิตวิทยาการเรียนรู้เรียกภาวะเช่นนี้ว่า การเกิด
“ภาวะการสร้างข้อจำกัดในเชิงหน้าที่” (functional fixedness)
อันเป็นภาวะที่บุคคลไปจำกัดขอบเขตหน้าที่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่า
สามารถที่จะทำหน้าที่หนึ่งหน้าที่ใดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งนั้นอาจทำหน้าที่ใหม่เป็นอย่างอื่นได้
ตัวอย่างเช่น
ขวดพลาสติกมิได้มีหน้าที่เพียงใส่น้ำหรือเครื่องดื่มเท่านั้น
เพราะจะเห็นได้ว่า
มีนักประดิษฐ์นำขวดพลาสติกดังกล่าวมาต่อกันเป็นทุ่นหรือแพเพื่อใช้ในช่วงอุทกภัย
หรืออีกตัวอย่าง เช่น กระดาษชำระ
ซึ่งโดยทั่วไปก็มักใช้เพื่อการทำความสะอาดเพื่อสร้างสุขอนามัย
แต่ภายหลังก็ได้มีการประยุกต์มาเป็นวัสดุสำหรับเพาะปลูกพืชทำให้มิต้องอาศัยดิน
เป็นต้น
จากตัวอย่างที่แสดงไว้ แนวคิดสำคัญที่ตามมาก็คือ
“ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นโดยมิได้มีเพียงหน้าที่เดียว” และใช่ว่า
“สิ่งนั้นจะต้องทำหน้าที่เดิมเช่นนั้น” เสมอไป
สำหรับตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนของการเกิดภาวะการจำกัดฯ
เช่นนี้ในการสอนภาษาไทย เช่น
การที่ครูคิดทึกทักไปว่าวรรณคดีทุกเรื่องมีหน้าที่ให้
คำสอนหรือข้อคิดในเชิงคุณธรรมและจริยธรรม
ส่งผลให้ครูภาษาไทยสอนวรรณคดีทุกเรื่องเพื่อจะให้ผู้เรียนหาข้อคิดหรือคำสอนต่างๆ
ทั้งที่ในความจริงแล้ววัตถุประสงค์ในการสร้างวรรณคดีบางเรื่อง
ก็อาจเป็นไปเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อตอบสนองต่ออารมณ์ของกวีโดยแท้
เหตุนี้
วรรณคดีบางเรื่องจึงมิได้มุ่งให้คำสอนหรือเพื่อให้เป็นแบบอย่างในทางจริยธรรมแต่อย่างใด
การที่ครูจงใจยัดเยียดข้อคิดหรือคุณธรรมจริยธรรมบางอย่างด้วยการเชื่อมโยงเอง
อาจทำให้สูญเสียอรรถรสในการเสพวรรณคดี หรืออีกตัวอย่าง
เช่น การสอนเรื่องการผันเสียงวรรณยุกต์ของพยางค์ต่างๆ
ครูภาษาไทยก็ไปจำกัดการผันไว้แต่เฉพาะพยางค์บางพยางค์
และสอนให้ผู้เรียนสังเกตหรือผันเสียงวรรณยุกต์ในพยางค์เท่านั้น
โดยมิได้คำนึงว่า การผันวรรณยุกต์นั้นสามารถนำไปใช้ในการทำสิ่งอื่นๆ
ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพและโคลงสี่สุภาพ
เป็นต้น วิธีแห่งความเคยชินดังที่กล่าวมานี้
จึงเกิดจาการที่ครูผู้สอนมีมุมมองต่อสิ่งที่ตนเองสอนเพียงมิติเดียว
ส่งผลให้ผู้เรียนไม่สามารถประยุกต์ความรู้ที่เรียนไปใช้แก้ปัญหาสิ่งใหม่ได้
จากตัวอย่างเรื่องการผันวรรณยุกต์ดังที่เสนอไว้
ผู้เรียนที่แม้จะเรียนเรื่องหลักการผันวรรณยุกต์ไปแล้ว ก็อาจจะยังไม่สามารถแต่งคำประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพโดยใช้เสียงวรรณยุกต์ที่เหมาะสมได้
เป็นต้น
ที่จริงแล้ว การสร้างข้อจำกัดต่างๆ ดังที่กล่าวมา
เกิดขึ้นในแทบจะทุกกิจกรรมการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ
การที่ครูภาษาไทยบอกกับผู้เรียนที่ท่องอาขยานไม่ได้ว่า
“ต้องตั้งใจหรือต้องพยายามมากกว่านี้” ถือว่าเป็นคำตอบ “สำเร็จรูป”
ที่เกิดจากการสร้างข้อจำกัดในเชิงหน้าที่
ทั้งที่จริงแล้ว ครูภาษาไทยควรจะศึกษาเพื่อค้นหาสาเหตุของการที่ผู้เรียนผู้นั้นท่องอาขยานไม่ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
เพราะปัญหาของผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีรายละเอียดที่ต่างกัน
ครูไม่สามารถที่จะใช้คำตอบเดียวกัน
หรือบอกวิธีการแก้ปัญหาแบบเดียวกันให้แก่ผู้เรียนทุกคนได้
เพราะใช่ว่าทุกคนจะนำไปใช้แล้วได้รับผลเช่นเดียวกัน
แต่ด้วยวิธีแห่งความเคยชินหรือความคุ้นเคยกับคำตอบที่ตนเองเคยมีประสบการณ์
ทำให้ครูใช้วิธีเดียวกันกับที่ตนเองเคยรับรู้มา ซึ่งก็แน่นอนว่า
มิใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ตอนสนองต่อความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลเป็นแน่
การลดภาวะการสร้างข้อจำกัดต่อสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะในการสอนภาษาไทย
ครูภาษาไทยจำเป็นจะต้องฝึกฝนให้ผู้เรียนเป็นผู้มีมุมมองที่หลากหลายและสร้างสรรค์
คือ รู้จักพิจารณาว่าสิ่งต่างๆ
ย่อมที่หน้าที่หรือนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
ซึ่งนี่ก็เป็นหลักการสำคัญของการ “ประยุกต์” ความรู้นั่นเอง
ในการสอนคำเป็นคำตาย
จึงไม่ควรสอนเฉพาะแต่ว่าพยางค์ใดเป็นคำเป็นหรือพยางค์ใดเป็นคำตาย
แต่จะต้องพิจารณาด้วยการขยายขอบเขตต่อไปว่า
คำเป็นคำตายนำไปสู่การผันวรรณยุกต์และ
การแต่งคำประพันธ์ได้อย่างไร หรือในการสอนเขียน
ก็ควรให้ผู้เรียนพิจารณาด้วยว่า
กิจกรรมการเขียนมิใช่เน้นที่การใช้ถ้อยคำหรือสำนวนภาษาที่สละสลวยไพเราะแต่เพียงอย่างเดียว
แต่เป็นการฝึกเรียบเรียงความคิดของผู้เรียนให้เป็นระบบและลับเหลี่ยมให้แหลมคมขึ้นอีกด้วย
วิถีแห่งความเคยชินหรือการไปจำกัดว่า ทุกสิ่งมีเพียงหน้าที่เดียว
ทำให้เกิดโลกทัศน์ที่คับแคบ ที่จริงแล้ว
ครูภาษาไทยอาจฝึกฝนที่จะเอาชนะอุปสรรคดังกล่าว
ด้วยการเริ่มจากการคิดว่า ครูมิได้มีหน้าที่เพียงสอนหรือบอกแต่ความรู้
แต่ครูควรคำนึงถึงหน้าที่อื่น ๆ เช่น การเป็นผู้คอยดูแล กระตุ้น
และสนับสนุนให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองหรือสร้างความหมายจากประสบการณ์ที่ได้รับ
รวมทั้งคิดต่อไปด้วยว่า การสอนภาษาไทย
มิใช่การสอนเพื่อสร้างความเข้าใจแต่เฉพาะภาษา แต่หน้าที่อื่นๆ
ของการสอนภาษาไทย คือการพัฒนาทักษะการสื่อสารและทักษะทางปัญญา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะการคิดของผู้เรียน ดังนี้
การส่งเสริมให้ผู้เรียนมองให้กว้างและสร้างความกระจ่างในวิธีการต่างๆ
ที่หลากหลาย จะทำให้ผู้เรียนยุคใหม่ไม่ “จนมุม”
และกลับมาเป็นผู้ที่ใช้ประโยชน์จากทางเลือกต่างๆ
เหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เท่าที่ได้แสดงมานี้ บางทีก็อาจสรุปได้กระมังว่า
ข้อจำกัดอย่างเดียวของการเป็นครูก็คือ
การจำกัดความคิดของตนให้คับแคบลงเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว
________________________________________