ทุ่งนาเขียวขจียามเช้าแลดูชุ่มฉ่ำสดชื่นหลังจากได้ชโลมอาบน้ำฝนที่เทลงมาอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา วันนี้พวกเราพร้อมใจกันออกเดินทางจากที่พักตั้งแต่เช้ามืด เพื่อจะไปให้ถึงโรงเรียนนอกกะลาก่อนเด็กๆจะเข้าแถวเคารพธงชาติตามคำแนะนำของครูวิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาที่ฝ่าสายฝนมาพบปะพูดคุยอย่างเป็นกันเอง เมื่อคืนที่ผ่านมาพร้อมกับครูต๋อย ครูรุ่นบุกเบิกของโรงเรียนที่ยอมสละสิทธิการเข้ารับบรรจุเป็นข้าราชการครู ตามความต้องการของครอบครัวถึง 2 ครั้ง ด้วยเหตุผลสั้นๆเพียงว่า “อยู่ที่ไหนก็เป็นครูได้” และ ครูชาญ ที่เรียนจบวิทยาศาสตร์บัณฑิต มีความใฝ่ฝันอยากเป็นครูเช่นกัน แต่สอนหนังสือไม่เป็น พูดไม่รู้เรื่อง เด็กๆ ไม่อยากฟัง แต่ในวันนี้ครูชาญจะเป็นคนพาพวกเราเดินชมโรงเรียน
เราไปถึงโรงเรียนก่อนเวลาเคารพธงชาติ ทำให้เราสามารถชื่นชมทัศนียภาพรอบๆ โรงเรียนได้โดยไม่ต้องรีบเร่ง สิ่งที่เห็นจากหน้าโรงเรียนเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยหลากหลายชนิด ยืนตระหง่านรับละอองฝนที่ยังหลงเหลือจากยามค่ำคืนพอประปราย มองไม่เห็นอาคารเรียนหรือแม้กระทั่งเสาธง ชวนให้ค้นหายิ่งนักว่าซุกซ่อนอยู่อยู่แห่งหนใดกันหนอ... เมื่อเดินเข้าไปใกล้อีกนิดก็ได้เห็นภาพวิถีชีวิตของเด็กนักเรียนที่นี่ เป็นภาพพ่อ แม่ ผู้ปกครองทั้งอ่อนวัยและสูงวัยเดินจูงมือเด็กๆในชุดนักเรียนที่ไม่คุ้นตา..... พวกเราเร่งฝีเท้าเพื่อให้ทันหญิงชราผมสีดอกเลาและเด็กชายร่างเล็กที่กึ่ง เดินกึ่งกระโดดส่งเสียงเรียก “ พี่ต้นไม้... พี่ดอกไม้... พี่ไส้เดือน... พี่ผีเสื้อ...” ตามรอยเท้าที่เรียงรายบนทางเดินอย่างสนุกสนานราวกับเจ้ากบซุกซนกระโดดเล่น อยู่บนคันนาตลอดเส้นทางที่รถของเราแล่นผ่านมา
“ สวัสดีค่ะคุณยาย มาส่งหลานหรือค่ะ ”
“ จ้า...วันนี้ตาเจ้าจ้อยไม่อยู่ ยายก็เลยมาส่งเอง ”
“บ้านยายอยู่ไกลมั้ยค่ะ”
“ ไม่ไกลหรอก อยู่เลยโรงเรียนไปหน่อยเดียวเอง ยายยังขี่จักรยานพาเจ้าจ้อยมาโรงเรียนได้เลย ”
ระยะทางสั้น ๆ จากหน้าโรงเรียนจนถึงบริเวณจุดเซ็นชื่อ บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบร่มรื่นด้วยต้นไม้ตลอดเส้นทาง แต่พอเข้าใกล้อาคารเรียน เสียงเพลงคลื่นสมองต่ำเบา ๆ สบาย ๆ ก็เริ่มร่องรอยเข้ามากระทบโสตประสาทชัดขึ้น....ชัดขึ้น...แล้วเราก็ได้เห็น ต้นตอของเสียงซึ่งมาจากเครื่องเล่นวิทยุเครื่่องเล็ก ๆ ตั้งอยู่บริเวณโต๊ะเซ็นชื่อสำหรับผู้ปกครองและนักเรียนที่ต้องมาเซ็นต์ชื่อ ร่วมกัน
“ยายไปละนะ ต้องรีบเอาผ้าไปส่งที่ตลาด ” ฉันยกมือไหว้ลาคุณยาย แล้วก็นึกถึงสิ่งที่คุณยายและจ้อยบอกกล่าวเรื่องราวของชุดนักเรียนที่จ้อย ใส่มาในวันนี้ กางเกงนักเรียนของจ้อยหน้าตาเหมือนของเด็กนักเรียนทั่ว ๆ ไป แต่เสื้อนักเรียนของจ้อยทำจากผ้าทอหลากสีลายคล้ายผ้าขาวม้าตาเล็ก ๆ เป็นผ้าทอพื้นเมืองของชาวอีสาน ที่ยายของจ้อยสืบสานภูมิปัญญานี้มาหลายชั่วอายุคน
“เสื้อนักเรียนของจ้อยตัวนี้ยายทอเองกับมือเลยนะ คนเดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยทอมือกันแล้ว เขานิยมซื้อสำเร็จรูปมันง่ายดี” ยายของจ้อยบอกฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายตาส่องประกายอ่อนโยน เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความห่วงใย ขณะมองไปยังจ้อยที่กำลังพูดจ๋อย ๆ
“ผมเคยพาคุณครูกับเพื่อน ๆ ไปเที่ยวบ้าน ไปดูยายทอผ้าด้วยครับ แต่เดี๋ยวอาทิตย์หน้ายายต้องมาเรียนทำนากับผมด้วยล่ะ”
การเรียนรู้ของโรงเรียนนอกกะลาช่างน่าสนใจยิ่งนัก ผู้ปกครองเรียนรู้ร่วมกับนักเรียน เลือกสิ่งที่ตัวเองถนัดมาสอนเด็ก ๆ สอนลูก สอนเพื่อนของลูก เชื่อมโยงวิถีชีวิต และ ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการเรียนรู้ ดอกผลที่ได้มากกว่าชิ้นงานธรรมดา แต่เป็นมิติความสัมพันธ์ เชื่อมโยงหากันและกันอย่างเหนียวแน่น........
สิ่งที่ได้จากการหงายกะลา.....คุณครูใจดี เด็กมีความสุข
พอใกล้ถึงเวลาเคารพธงชาติ ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเงียบ ๆ คือ เด็ก ๆ ทยอยกันเดินจากส่วนต่างของโรงเรียนมุ่งหน้าไปที่เสาธงคล้ายดั่งมีแม่เหล็ก ดูดเด็กซุกซ่อนอยู่ในนั้น ไร้เสียงออด หรือเสียงระฆังกังวาน ไม่มีการใช้เครื่องขยายเสียง คุณครูและเด็ก ๆใช้เวลาร้องเพลงชาติ สวดมนต์อย่างสั้น ๆ ไม่มีการแจ้งข่าวหรือการอบรมบ่มนิสัยที่เราเคยได้ยินสม่ำเสมอหน้า เสาธง......ครูชาญพาพวกเราเดินชมการจัดการเรียนการสอนด้วยท่าทาง และน้ำเสียงที่น่าฟังราวกับวิทยากรมืออาชีพ ไร้ร่องรอยจากคำปรามาสของเด็ก ๆ โดยสิ้นเชิง .... สิ่งที่พูดคือสิ่งที่ทำ สิ่งที่ทำคือคือสิ่งที่รักและภาคภูมิใจ มันเปรียบเสมือนคลื่นที่พวกเรารู้สึกและสัมผัสได้ สมดังที่ครูวิเชียรบอกพวกเราเมื่อคืนฝนตกว่า
“ถ้าเราสามารถปลดปล่อยศักยภาพของครูได้ ครูทั่วประเทศก็สามารถทำได้เช่นกัน”
“ การคัดเลือกครูของเราใช้เกณฑ์ข้อเดียวคือเลือกคนที่มีใจอยากเป็นครู กระบวนการคัดเลือกไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือกระบวนการพัฒนาให้เป็นครูคุณภาพ ”
ความหมายของครูคุณภาพของโรงเรียนนอกกะลาแตกต่างจากครูคุณภาพของสมศ. ที่นี่ครูคุณภาพมองอยู่ 2 ประเด็นคือ การเป็นครูที่ดี หมายถึงครูที่ไม่ปล่อยให้เด็กล้มเหลว และครูที่เก่งหมายถึงครูที่ถามเด็กเก่ง ทำให้เด็กคิดและหาคำตอบได้ เรื่องเดียวกันแต่สามารถสอนได้หลายวิธี โดยอาศัยเครื่องมือ 3 ชิ้นคือ คำถาม mind mapping และ blackboard sharing
พวกเราเดินตามครูชาญเพื่อแอบดูเด็กๆ และ ชมห้องเรียนของเด็กประถมศึกษาที่อยู่รวมกันในอาคารหน้าเสาธง ห้องเรียนเป็นรูป 6 เหลี่ยม ถูกออกแบบอย่างตั้งใจเพื่อป้องกันปัญหาเด็กหลังห้อง ภายในห้องเรียนเต็มไปด้วยผลงานของเด็กๆทั้งแปะ ทั้งห้อย ทั้งร้อย ทั้งวางอยู่ตามมุมต่างๆในห้องเรียน
“ เป้าหมายของการศึกษาไม่ใช่แค่วิชาการอย่างเดียว แต่รวมไปถึงร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ สู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ”
ความจริงเป้าหมายการศึกษาของโรงเรียนนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ แต่สิ่งที่ต่างคือ ที่นี่มีกิจกรรมที่ทำให้เห็นและจับต้องได้ว่าเข้าไปแตะถึงการพัฒนาจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและเข้าใจยาก.... การออกแบบการเรียนรู้อิงตามหลักสูตรแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ ครอบคลุมทั้ง 8 สาระการเรียนรู้แต่หลอมรวมเหลือเพียง 4 วิชา ได้แก่ อังกฤษ ไทย คณิตศาสตร์ และวิชาบูรณาการ โดยในแต่ละวันจะแบ่งกิจกรรมของนักเรียนเป็น 4 ช่วง คือ ช่วงแรกกิจกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างครู ผู้ปกครองและเด็กก่อนเคารพธงชาติ ช่วงที่สองกิจกรรมจิตศึกษา เตรียมความพร้อมของสมองก่อนเรียน พัฒนา SQ โดยครูจะใช้เสียงเบาๆ เปิดเพลงคลื่นสมองต่ำ เบาๆ สบายๆ ทำกิจกรรมกำกับสติให้อยู่กับตัวเองเช่น น้องอนุบาลส่งพี่แก้วน้ำที่ใส่น้ำเต็มแก้วให้เพื่อนแล้วไหว้และกล่าวขอบคุณ ช่วงที่สามกิจกรรมพัฒนาด้านสติปัญญา ไม่มีหนังสือ ไม่มีแบบเรียน วิชาภาษาไทยเรียนรู้ผ่านวรรณกรรมที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัย ภาษาอังกฤษเน้นการเรียนรู้เพื่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ คณิตศาสตร์เรียนรู้เพื่อความเข้าใจไม่รีบไปที่ตัวเลขหรือคำตอบแต่เน้นการ เขียนแผนภาพ วางแผนแก้ปัญหา ช่วงที่สี่เป็นกิจกรรมบูรณาการโดยโครงงาน เรียนรู้ผ่านการทำจริง ครูจะเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นด้วยคำถามหาสิ่งที่เด็กๆอยากเรียนรู้ แล้วจึงให้เด็กวางแผน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานของแต่ละคน และมีการประเมินนักเรียนตามสภาพจริงจากภาระงาน ชิ้นงาน พฤติกรรม ให้นักเรียนเขียน mind mapping เพื่อความเข้าใจ ไม่มีการสอบ ครูชาญย้ำว่าสิ่งสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนไม่เน้นความรู้ แต่เน้นการคิดและกระบวนการแสวงหาความรู้
ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการเรียนแต่ละควอเตอร์เป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ ทุกคนรอคอย พวกเขาจะได้สร้างสรรค์สิ่งที่ได้เรียนรู้เป็นละคร อำนวยการผลิตเองหมด ตั้งแต่เขียนบท เลือกนักแสดง และจัดแสดงให้เพื่อน ๆ ได้ชมกันอย่างสนุกสนาน
ฉันอยากกอดทุกคนในโลก
หลังเสร็จการเยี่ยมชมกิจกรรมของพี่ประถมเราลงไปทางด้านหลังของอาคารเพื่อไป เรียนรู้กิจกรรมของน้องอนุบาล ครูชาญพาเราเดินไปตามเส้นทางที่ระเกะระกะไปด้วยขอนไม้ใหญ่น้อย บางช่วงมีก้อนหิน บางช่วงเป็นแอ่งน้ำที่มีสะพานไม้กระดานแผ่นเดียวให้ข้ามผ่าน
“ ทุกสิ่งที่นี่ถูกออกแบบมาไว้เพื่อการเรียนรู้ ทางเดินที่พวกเราเดินนี้ตั้งใจทำให้ไม่เรียบเพื่อฝึกสติในขณะก้าวเดิน ” สิ้นเสียงครูชาญทำให้พวกเราต้องเดินกันอย่างระมัดระวังราวเข็มสั้นบน หน้าปัดนาฬิกา แต่ก็อดถามครูชาญไม่ได้ว่า
“ เคยมีอุบัติเหตุหกล้มกันบ้างมั้ยค่ะ ”
“ เด็ก ๆ ไม่เคยมี มีแต่ผู้ใหญ่ที่มาเที่ยวชมโรงเรียนสะดุดล้มบ้าง ” ตรงนี้ยืนยันได้จากเด็กที่ใช้เส้นทางเดินนี้หลังจากที่พวกเราผ่านไปแล้ว พวกเขาวิ่งเป็นเข็มวินาทีเลยทีเดียว
อาคารของน้องอนุบาลมีลานโล่งอยู่ด้านหน้า เด็ก ๆ จะนั่งเข้าแถวทำกิจกรรมก่อนเข้าห้องเรียน คือการเข้าไปกราบคุณครูใจดีที่นั่งอยู่กับพื้นทีละคนแล้วคุณครูก็โอบกอด นักเรียนทุกคนเช่นกัน เอ..แล้วน้องอนุบาลอยากกอดคนอื่นบ้างไหมหนอ??? .....บริเวณห้องโถงและห้องเรียนของน้องอนุบาลจะคล้ายของพี่ประถมคือมีผลงาน ของน้อง ๆ ติดอยู่มากมาย มีบางภาพที่ความสามารถพื้น ๆอย่างพวกเราพอจะมองออกว่าน้องต้องการสื่ออะไร แต่ก็มีหลายภาพที่อาจจะเป็นภาพ abstract ที่เราไม่สามารถเข้าถึงจินตนาการของพวกเขาได้ สิ่งที่เราพบเห็นเหมือนกันทุกภาพคือเครื่องหมายถูกของคุณครูและลายมือครู ที่เขียนว่า “ดี” “ ดีมาก” “เก่งมากค่ะ”
บรรยากาศห้องเรียนของน้องอนุบาลเงียบสงบ น้องๆ นั่งล้อมวงทำกิจกรรมฝึกสติ ไม่มีเสียงพูดคุยดังๆ ได้ยินแต่เสียงครูใจดีพูดกับนักเรียนแบบเบาๆ พวกเราได้มีโอกาสแอบดูและทำตาม กิจกรรมที่ดูเหมือนง่ายสำหรับเด็กแต่ยากมากสำหรับพวกเรา โดยการใช้นิ้วมือทั้งสองข้างทำสัญลักษณ์เป็นรูปต่างๆ สลับซ้ายขวา หลังทำกิจกรรมนี้เสร็จตามด้วยกิจกรรมกอดที่เราตั้งชื่อกันเองเพราะไม่มี โอกาสได้พูดคุยกับคุณครูเนื่องจากโรงเรียนอนุญาตให้เราดูกิจกรรมได้ห่าง ๆ...กิจกรรมง่าย ๆ แต่ความหมายลึกซึ้งเริ่มด้วยการให้เด็กเลือกเพื่อนที่จะกอด เข้าไปสวัสดี กอดเพื่อน แล้วเดินจูงมือไปสวัสดีและกอดคุณครู ทำอย่างนี้สลับกันไปจนครบ ทำทุกวันสม่ำเสมอ ค่อย ๆ ซึมซับ ความอ่อนโยน ความรัก ความผูกพัน บ่มเพาะความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ให้งอกงามในจิตใจดวงน้อยๆของเด็กนักเรียน ที่โรงเรียนนอกกะลาแห่งนี้ตลอดไป.........
ทพญ.สุขจิตตรา วนาภิรักษ์