มูลค่ายางพาราไทยดิบส่งออกนอกสูงอย่างเหลือเชื่อ ประมาณปีละ 350 พันล้านบาท ส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางก็ประมาณเท่าๆ กัน (เช่น ยางรถยนต์ ถุงมือยาง ถุงยางอนามัย)
จากการสำรวจข้อมูลของผมเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ไทยเราส่งออกยาง เป็นยางดิบ (เช่นน้ำยาง ยางแผ่นรมควัน) เสียประมาณ 80% ของผลผลิตทั้งหมด ซึ่งผมว่าในปีนี้ก็ยังประมาณนั้นแหละ แสดงว่ายาง 80% ราคา 350 พันล้าน ดังนั้นยาง”สุก” ที่เหลือ 20% ที่ส่งออกนั้นจริงๆแล้วขายในประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่งออกอาจเพียง 5% เท่านั้น แสดงว่าการทำให้สุก มีมูลค่าเพิ่ม 16 เท่า ....ซึ่งตรงกับการประเมินของผมในบทความก่อนๆ เช่นยางพาราดิบ กก.ละ 100 บาท แต่พอเอาไปทำยางรถยนต์ กก.ละ 600 บาท (แถมที่หนักนั้นมีเส้นใยเหล็กปนมาก เนื้อยางจริงๆมีไม่ถึง 50% ) ถ้าเอาไปทำถุงยางอนามัยก็กก.ละ เท่าไหร่ไม่รู้ (โลกวันนี้ต้องการเยอะเสียด้วย เพราะมนุษย์มีตัณหามากขึ้นทุกวัน)
ที่น่าประหลาดคือ โรงงานผลิตภัณฑ์ยางนั้นเป็นโรงงานต่างชาติแทบทั้งสิ้น รัฐมารไทยไม่ค่อยเหลียวแลอะไร นอกจากประกัน จำนา ราคาแบบเดิมๆ...ก็มันง่ายดี
ผมเสนอมานานแล้วว่า ทำไมรัฐบาลไม่จัดตั้งรัฐวิสาหกิจนำร่อง ทำการสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ แบบครบวงจร ไม่ใช่ขายแต่ของดิบๆ ราคาถูกๆ แต่ขายของสุกที่มีราคาแพง นอกจากได้เงินมากขึ้นแล้ว ยังสร้างงานให้ประชาชนในท้องถิ่น ไม่ต้อง “แดงทิ้งแผ่นดิน” ไปหากินในถิ่นอื่น
พอทำได้ดีมีกำไรมากแล้ว จะค่อยๆ ทยอยขายหุ้นให้ประชาชนในท้องถิ่นก็ได้ (อย่าโกงแบบบางบริษัทยักษ์ใหญ่ก็แล้วกัน)
ทำแบบนี้ไม่แต่ยางพารา แต่ในทุกเรื่อง ...ก็สร้างชาติได้ด้วยลำแข้งแรงขาเราเอง รวยไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องไปง้อต่างชาติ เหมือนเช่นทุกวันนี้ ไปเป็น BOI (บ๋อย) เขาอยู่นั่นแหละ
...คนถางทาง (๗-๕-๕๕)
ไม่มีความเห็น