ก้าวไปด้วยความดี...


กาลเวลามันผ่านไปชีวิตของเราก็เจริญเติบโตขึ้น จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่เป็นคนชราสูงวัย และค่อย ๆ เสื่อมไปตามกาลเวลา...



ให้เราทิ้งทุกสิ่งที่มันไม่ดีไว้กับความหลังที่ผ่านมา สิ่งที่ผ่านมาแล้วมันเป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์ ที่มีทั้งเจ็บปวด เศร้าโศรก มีทั้งสุขและทุกข์ มีความสะดวกสบาย เพลิดเพลิน มันเป็นประสบการณ์ชีวิต ที่เราจะได้ปรับปรุงแก้ไขมัน


ปฏิปทา การประพฤติปฏิบัติของเรา อันไหนที่มันไม่ดี พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราทิ้งมันไป ให้เราเชื่อว่าการทำความดีนั้นย่อมได้ดี ถึงแม้มันต้องแลกมาด้วยความลำบากก็ตามเราก็ต้องทำแต่ความดี สิ่งที่มันไม่ดี เราก็ไม่ต้องไปพูดมันอีก ไม่ต้องไปทำมันอีก ไม่ต้องไปคิดมันอีก อันไหนที่มันดีก็ให้เราทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มารับเอามหามงคล คือสิ่งใหม่ ๆ จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“สัพพะปากัสสะ อะกะละนัง การไม่ทำบาปทั้งปวง...” ทำแต่ความดี ทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ชีวิตของเราที่จะได้ดีเราก็ต้องทำสิ่งที่ดีนะ ให้เรามาทำความดีที่ปัจจุบันนี้แหละ ให้เรากลับมาเน้นที่ตัวเรา ความประพฤติของเรา ปฏิปทาของเรา


อนาคตเป็นสิ่งที่อยู่ไกล เป็นสิ่งที่หลายท่านมีความวิตกกังวล พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นที่ปัจจุบัน ให้กลับมาที่ปัจจุบันขณะนี้ ถ้าปัจจุบันเราทำดี พูดดี คิดดี อนาคตเราก็ดี ถ้าเราทำไม่ดี พูดไม่ดี คิดไม่ดี อนาคตก็ไม่ดี เพราะว่าความดีเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติก้าวไปข้างหน้า เดินไปด้วยความดี

 


อย่าได้ไปคนอ่อนแอท้อแท้กับสิ่งที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่เป็นสิ่งยั่วยวนกวนใจ ทำให้ท้อแท้อ่อนแอ ทุกคนทุกท่านต้องตั้งมั่น หนักแน่น ไม่หวั่นไหว
ให้ใจของเรามีสมาธิ มีสัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นไว้ชอบ เพราะว่าสมาธิเป็นสิ่งที่ดี มันทำให้เรา มีความสุข


คนเรานะ ถ้ากายกับใจมันอยู่ด้วยกันมันมีความสุข ถ้ากายอยู่ที่หนึ่งใจอยู่ที่หนึ่งมันมีความทุกข์...


ถ้าคนเรากายกับใจมันไม่ได้อยู่ด้วยกันเขาเรียกว่าคนไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา พระพุทธเจ้า ท่านถึงได้บอกได้สอนเราให้กายกับใจมันอยู่ด้วยกัน ใจของเราก็จะมีความสุข การงาน การเรียน การปฏิบัติของเรามันก็จะดีเอง


ทุกท่านทุกคน พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นมาที่จิตที่ใจ ให้ทุกท่านทุกคนฝึกใจให้ใจของเรามีสติ ให้ใจของเราอด ให้ใจของเราทน ให้ใจของเรามีความเพียร ให้ใจของเราเห็นโทษเห็นภัยในความทุกข์ ความยากลำบาก


ที่พวกเราขี้เกียจขี้คร้าน ไม่อดไม่ทน ไม่มีความเพียรกัน อนาคตของพวกเราต้องมี ความทุกข์ยากลำบากแน่นอน ต้องเป็นทาสของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง เราเป็นทาส มันยังไม่พอ เราต้องเป็นทาสคนอื่นอีก เพราะหัวใจของเราเป็นคนหลง เป็นคนประมาท


วัน ๆ หนึ่ง กาลเวลามันก็มีแค่ ๒๔ ชั่วโมง เวลานอนของเราก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง เวลากินก็หลายชั่วโมง ถ้าเราไม่ตั้งใจทำความดี สิ่งภายนอก สิ่งแวดล้อมมันก็ดึงเราไปหมด

 


ทุกท่านทุกคนต้องบังคับตนเองทำความดี บังคับจิตบังคับใจตัวเองให้ได้ ถ้าบังคับตัวเองไม่ได้ อนาคตของเรามีหวังเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิตใจไม่สงบ จิตใจมันป่วย “ความรู้ท่วมหัว ความฉลาดมากมายแต่หาความสุขสงบไม่ได้”


เหมือนเครื่องบินลำหนึ่งซึ่งมีเครื่องแรงสูงบินทะยานขึ้นบนอากาศแล้วไม่มีสนามลงจอดพัก

 

 


มันเปรียบเสมือนจิตใจของเราทุกคนนะ จิตใจที่มันส่งออกนอก ไม่มีที่พักที่จอด มันส่งออก แต่ข้างนอก มันเป็นไปเรียนข้างนอก ไปแก้ไขแต่ข้างนอก มันไม่ได้มาพัฒนาแก้ไขตนเอง เลยเป็นคนไม่มีสมาธิ ใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


คนเราถ้าใจมันไม่สงบมันมีปัญหามาก ปัญหาต่าง ๆ มันมารวมที่ใจของเรา เพราะว่าใจของเรา มันไม่สงบ บางคนบางท่านคิดว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น มันเป็นเรื่องของคนจิตใจไม่สงบ เป็นเรื่องของคนจิตใจมีปัญหา เพราะว่าคนส่วนใหญ่จิตใจมันก็ไม่สงบ จิตใจมีปัญหากันแทบทุกคน บางคนก็มาก บางคนก็น้อย คนที่จิตใจไม่มีปัญหาก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น “การเป็นโรคทางกายนี้ ถือว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเราเป็นโรคทางจิตนั้น มันเป็นปัญหาใหญ่ เป็นปัญหามาก...”


พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้พวกเรามีเฉพาะโรคทางกาย อย่าให้มีโรคทางจิตใจ โรคทางจิตใจก็คือ โรคจิตใจไม่สงบ


โรคทางใจจะแก้ไขได้ ก็ต้องอาศัยความดี อาศัยสมาธิ ปัญญาถึงจะเกิดได้...
ถ้าเราทำความดี สมาธิของเรามันก็จะเกิดโดยธรรมชาติ เพราะคุณธรรม ความดีมันเป็นเรื่องของจิตใจ ใจเขาก็มีอาหารของเขา ได้แก่ การให้ทาน รักษาศีล สมาธิภาวนา


การทำความดี การเสียสละ อย่างเราทำการทำงาน ถ้าใจของเราอยู่กับการทำการทำงาน มันก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง สมาธิคือการเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ ท่องหนังสือ ให้ใจกับกายมันอยู่ด้วยกัน มันก็เป็นสมาธิ


เราทำทุกอย่างที่มันเป็นความดี ให้ใจของเราอยู่กับการกระทำนั้น คนเราวันหนึ่งมันจะอยู่กับการงาน การเรียน การศึกษาเยอะ


พระพุทธเจ้าท่านให้เราให้ตั้งอกตั้งใจให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ให้มีความสุขมาก ให้มีความสบายมาก ๆ กับการทำความดี ถ้าหากเราไม่มีความสุขกับการกระทำของเรา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราเป็นคนมีสมาธิน้อย เป็นคนสมาธิสั้น เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้มันดี ให้มันถูกต้อง มันจะได้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และจะได้เกิดประโยชน์ต่อคนอื่น


พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนทุกท่านพัฒนาตนเอง...


ปัญหาต่าง ๆ มันเกิดจากเราเองที่เป็นคนประมาท เป็นคนติดสุขติดสบาย ติดทำอะไรฟรีสไตล์ ฟุ่มเฟือย ใช้เงินใช้ทองไม่รู้จักคิด อันไหนไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อก็ดันไปซื้อมัน อันไหนจำเป็นก็ไม่ยอมซื้อ


ติดเล่นเพลิน สร้างปัญหาให้กับตัวเองและก็สร้างปัญหาให้กับผู้อื่น แล้วก็ยังไปโทษคนอื่นอีกว่า สิ่งเหล่านั้นมันเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ โทษไปเรื่อยแหละ โทษว่าพ่อแม่ตัวเองยากจน ถ้าพ่อแม่เป็นเศรษฐี เราท่าจะสบายกว่านี้...


พวกเราและท่าน พระพุทธเจ้าให้พากันมาแก้ไขปัญหา กลับมาหาตัวเอง คนฉลาด คนหัวดี นี่มันยังไม่เพียงพอ มันต้องเป็นคนขยัน เป็นคนอดทน เป็นคนมีคุณธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป


ถ้าเราคิดเรานึกเฉย ๆ มันจะช่วยอะไรเราได้ เราต้องลงมือกระทำนะ...


พระพุทธเจ้าท่านให้เราลงมือปฏิบัติ ปัญหาที่มันยังไม่เกิดก็อย่าให้มันเกิด ปัญหาที่มันเกิดแล้ว ก็พยายามให้มันหมดไป


คนเราส่วนใหญ่แล้วมันชอบขอนะ ชอบขอในใจ ยังไม่นั่งสมาธิก็อยากให้มันสงบแล้ว ยังไม่เดินจงกรมก็ขอให้มันสงบแล้ว อยากได้มรรคผลนิพพานแล้ว


พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีความเห็นให้ถูกต้อง แล้วให้เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราอย่าขอไปเรื่อย ขอให้สอบได้สอบติด ขอให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี ขอให้พ้นทุกข์ ขอให้ได้มรรคผลนิพพาน


พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าความคิดอย่างนี้ ความอยากความต้องการอย่างนี้ การขออย่างนี้ แสดงว่าจิตใจของเรามันเป็นเปรต...


ทุกท่านทุกคนต้องสร้างเหตุ สร้างปัจจัยให้พร้อม ให้ลงมือปฏิบัติหน้าที่ให้ดี...


เราทำงานก็มีความสุขกับการทำงานแล้ว แถมเรายังได้รับเงินจากความสุขที่เราทำงานอีก


เราเรียนหนังสือเราก็มีความสุขกับการเรียนหนังสือ เราก็ได้รับความรู้ได้รับสิ่งดี ๆ นะ


ด้วยเหตุนี้ การประพฤติปฏิบัติของเราทุกคน ให้เข้าถึงความสุข ดับความทุกข์ที่แท้จริง ทั้งทางกาย ทางจิตใจ ทางวาจา จึงเป็นสิ่งจำเป็นของเราทุกคนที่จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ดี ถ้าไม่อย่างนั้นตัวเราเอง จะเป็นผู้ทำร้ายตัวเอง


พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า กรรมมุนา วัตตะตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำ เราทำดีเราก็ได้ดี เราทำชั่วเราก็ได้ชั่ว ถ้าเราไม่รักไม่เมตตาตัวเราเอง ใครจะมาช่วยเหลือเราได้ พ่อ แม่ เพื่อนฝูงทุกคน มีแต่จะให้กำลังใจเราใจการทำความดีของเรา การประพฤติปฏิบัติต้องเป็นตัวของเราเอง


พระพุทธเจ้าท่านสอนเรานะว่าอย่าเป็นคนอ่อนแอ อย่าเป็นคนท้อแท้ท้อถอย การสร้างบารมีมันเป็นเรื่องยากลำบาก มันเป็นสิ่งที่พวกเราต้องทำกันไปทุก ๆ วัน “มารไม่มี บารมีไม่เกิด” เราอดทนลำบากตอนนี้ อนาคตของเราก็จะสบายเอง


พระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ ท่านก็ได้รับหญ้าคาที่ศรัทธาญาติโยมถวายมา ได้มา ๘ กำมือ ท่านก็เอามาปูเป็นอาสนะเพื่อนั่งสมาธิ และท่านก็ได้อธิษฐานจิตว่า แม้หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้นจักเหลืออยู่ เนื้อและเลือดในสรีระนี้จะเหือดแห้งไปก็ตามที หากยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณตราบใด ก็จะไม่ลุกออกไปจากอาสนะนี้


เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราต้องเดินตามรอยท่าน ให้เราทำอย่างท่าน ปฏิบัติเราอย่าไปยุบไปพองกับสิ่งที่มากระทบ


ในชีวิตประจำวันของเรา มีสิ่งต่าง ๆ ผ่านเข้ามาตั้งมากมาย เรามีตาเราจึงเห็นรูป เรามีหู เราจึงได้ยินเสียง เรามีลิ้นเราจึงได้รับรู้รส เรามีจมูกเราถึงได้กลิ่น เมื่อเรายังไม่ตายเราก็ต้องมีความคิด...


พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสิ่งต่าง ๆ นั้น ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป มันเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ มันไม่มีอะไรมั่นคง อย่าไปหลงมันนะ...


สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มีขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่ามันดี มันไม่ดี มันสบาย มันลำบาก มันร้อน มันหนาว มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดสติ เกิดปัญญา เกิดสมาธิ ให้เรารู้แจ้งมัน มันเป็นเพียงภายนอก ถ้าเราไม่ไปรับมันก็ไม่เป็นภายใน มันเป็นแต่ภายนอก...


เราจะได้สร้างความดี สร้างบารมีของเรา มีจุดยืนของเราชัดเจนว่าชีวิตนี้คือ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ที่เราจะต้องทำความดี “เพราะปัญหาต่าง ๆ ที่มันมีขึ้น เกิดขึ้น ล้วนมาจากเราเอง ถ้าไม่มีเรา ปัญหามันก็ไม่มี”


เราอย่าไปโทษคนอื่น โทษสิ่งภายนอก ถ้าเราส่งจิตออกนอก มันเป็นวัฏฏะสงสาร เป็นการสร้างบาป สร้างกรรม สร้างภพ สร้างชาตินะ


พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราสร้างบาป สร้างกรรม ให้เอาศีลเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นที่ตั้ง...


ตัวพระพุทธเจ้าที่แท้จริงคือ “ศีล” ศีลก็คือ “ตัวไม่มีกิเลส” ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ส่วนธรรมได้แก่ “ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ที่ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน” มีแต่เสียสละ ทำไปเพื่อไม่มีตัวไม่มีตน ถ้ามันมีตัวมีตน มันทุกข์มาก ทุกข์หลาย ทุกข์แท้ ๆ ทุกข์ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ตายแล้วเกิดใหม่ก็ทุกข์ต่อ


พระพุทธเจ้าท่านรู้จักรู้แจ้งมันแล้ว ท่านเลยตรัสว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้ อีกต่อไป ท่านรู้จักแล้วว่าใครเป็นคนสร้างเรือน


คนเก่ง คนฉลาด คนมีความสามารถมันชอบประมาท คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองสามารถ หัวดี ปัญญาดี หากินเก่ง ทั้งที่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่ดี ก็ยังคิด ยังพูด ยังทำ


พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนหลง หลงในมนุษย์สมบัติ หลงในสวรรค์สมบัติ มันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะมันมีความชอบไม่ชอบ มีความเจริญมีความเสื่อม มันเป็นความประมาท


เราชอบคิดว่าตัวเองมีความสุขแล้ว มีความดีแล้ว ตัวเองทำดีแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าใจของเรามันติด ใจของเรามันหลง ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความสุขแล้วหลงในความสุข นั่นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันจะทำให้เราเนื่องช้า เสียเวลา เมื่อเรามีความสว่างแล้ว เรากลับไม่ทำความสว่างให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป


ส่วนใหญ่คนเรานะ เห็นเงินมันก็หน้าดำ เห็นทองคำมันก็หน้าเศร้า ถ้าได้ลาภ ยศ สรรเสริญ จิตใจมันยิ่งมืดมน...


พระพุทธเจ้าท่านเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านมีทุกอย่างมากกว่าเรา ท่านยังตัด ยังละ ยังเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เห็นเทวทูตทั้ง ๔ เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นนักบวช

 


ท่านให้เราน้อมมาที่จิตที่ใจของเรา ว่าทุก ๆ คนก็จะเป็นอย่างนั้น หนีไม่ได้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนจะต้องเป็นเช่นนั้น


เราจะปฏิเสธมันไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเห็นคนเจ็บ เราก็เห็นคนเจ็บ ท่านเห็นคนแก่ เราก็เห็นคนแก่ ท่านเห็นคนตาย เราก็เห็นคนตายเหมือนกับท่าน ให้เราคิดมโนภาพมาหาตัวเรา เราก็จะเป็นอย่างนั้น เราะจะได้ในสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่ต้องการ


พวกเราอุตส่าห์เล่าเรียน ทำมาหากินตั้งแต่ตัวน้อยจนมีฐานะ มีเกียรติ มีหน้ามีตา แต่สุดท้ายเราก็จะไม่ได้อะไรไปสักอย่าง เราก็จะทิ้งสิ่งต่าง ๆ ที่เราหาได้มาทั้งหมด


ครั้งเมื่อเราตาย เราจะได้รับเกียรติเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขามาทอดผ้าบังสุกุลให้เรา ความเป็นจริง ของเราทุกคนมันต้องเป็นอย่างนี้...

 

 

พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
วันพุธที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔

หมายเลขบันทึก: 487389เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2012 05:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม 2012 05:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท