ผู้ถึงซึ่งความสุข ความดับทุกข์...


 

ทุกท่านทุกคนเกิดมาต้องการความสุข ต้องการความดับทุกข์ ทำอย่างไรเราถึงจะได้ความสุขดับความทุกข์ เพราะว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุ เกิดจากปัจจัย...


พระพุทธเจ้าท่านให้เราเป็นผู้ฉลาด เลือกเอาแต่สิ่งที่ดี ๆ เข้ามาในชีวิตจิตใจ...


เราเกิดมาในโลกนี้มีทั้งสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดี เปรียบเสมือนผลไม้ที่อยู่ในตะกร้าใบหนึ่งที่มันรวมกันเยอะแยะ มีทั้งดีทั้งไม่ดี มีทั้งสิ่งที่มันน่ามันเสียเป็นพิษ

คุณพ่อคุณแม่เป็นพรหมลิขิตของเรา...

ถ้าท่านเลี้ยงดูเรา วางแผนในการเลี้ยงดูเราเป็นอย่างดี ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเรา พ่อแม่ท่านช่วยเหลือเรา ลิขิตเราให้เป็นคนดีนะ...

พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เรามาลิขิตตนเอง...

อย่างเราเป็นเด็ก ๆ ระบบความคิดสติปัญญาของเรามันก็คิดได้แต่เพียง กิน นอน เล่น เที่ยว ก็คิดได้แค่นี้ คุณพ่อ คุณแม่ คุณครู ท่านจึงพยายามฝึก พยายามสอน พยายามบังคับในการเรียนการศึกษา บังคับในการประพฤติปฏิบัติ

เวลาที่เราใช้อยู่ในขณะนี้หรือขณะต่อไปมันเป็นของมีค่ามาก ถ้าเราทำอะไรไปช้าวินาทีหนึ่ง ก็ถือว่าเราเป็นผู้แพ้วินาทีหนึ่ง

ความดี ความถูกต้อง ทุกคนต้องทำแข่งกับเวลา...

ทุกคนอยากกิน อยากเล่น อยากเที่ยว อยากตามใจตนเอง แต่ก็ต้องอด ต้องฝืนไม่ทำตามใจเรา ไม่ทำตามความต้องการของเรา ทำอย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม “นี่คือหลักการ คือจุดยืนของเรา เป็นการเข้าหาความสุข เข้าหาความดับทุกข์....”

 

เราทำในวันนี้ก็เปรียบเสมือนเรากำลังปลูกเมล็ดพันธุ์ไม้ในที่แปลงหนึ่งที่มันกำลังโล่งแจ้ง อีกหลายวัน หลายเดือน หลายปี ต้นไม้นั้นเขาจะโตของเขาเอง
ความสุขเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่ความสุขนั้นถ้าเราไปติดก็จะเป็นเครื่องเสพติด

ความสุขนั้นเป็นคุณ ถ้าเราติดนั้นมันก็กลายเป็นโทษ

ทุกคนต้องบริโภคอาหารให้มีความสุข ให้นอนมีความสุข ให้ทำงานมีความสุข ให้เรียนหนังสือมีความสุข เราใช้ความสุข เราบริโภคความสุข แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนเราไม่ให้ติดสุข ถ้าเราติดสุขจิตใจของเราก็ไม่ก้าวหน้า การงานของ

เราก็ไม่ก้าวหน้า ถ้าเราติดสุข เราก็บาปนะ...!

ยกตัวอย่าง อย่างคนรวยก็ดี อย่างเทวดาก็ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าพวกนี้ติดสุขติดสบาย เวลาตายแล้วก็ไปเกิดในนรก เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานซะส่วนใหญ่ เพราะเป็นคนติดสุขติดขี้เกียจ ขี้คร้าน ไม่เสียสละ มีความหลง

การเรียนการศึกษาของเราที่ได้คะแนนไม่เข้าเป้าเพราะเราติดสุข ยังเป็นคนขี้เกียจอยู่...

พระพุทธเจ้าท่านถึงเมตตาเรา สอนเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ให้เราตั้งใจให้ดี ๆ เวลาเราทำงานอะไรเราตั้งใจทำดี ๆ เพราะอันนี้เป็นหน้าที่ของเรา

การที่ตั้งใจดี ๆ เขาเรียกว่าคนมีสมาธิ ตั้งใจเต็มที่ ตั้งใจเต็มร้อย ให้มีความสุขในการทำ สิ่งเหล่านั้น ๆ

เวลาเราพูดก็ตั้งใจพูด พูดให้เสียงดังฟังชัด ชัดถ้อยชัดคำ ถูกอักขระ พูดให้น้ำเสียงไพเราะ

พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีความสุขในการพูด...

ให้เราทำดีที่สุด คำพูดเราประกอบด้วยความถูกต้อง ประกอบด้วยความสามัคคี ปราศจากตัวตน ไม่เอาแพ้ใคร ไม่เอาชนะใคร

เวลาฟังก็ตั้งใจฟัง ถ้าไม่ตั้งใจฟังมันไม่รู้เรื่อง มันไม่ตั้งใจฟัง เพราะความรู้ที่เราจะได้มาได้จากการฟังแล้วเกิดความเข้าใจ ถ้าเราไม่ตั้งใจฟังเรื่องที่เรายังไม่เข้าใจเราจะเข้าใจแจ่มแจ้งได้อย่างไร..?

เวลาฟัง ตั้งใจฟังอย่างดี ต้องเป็นผู้ที่รับฟังคุณพ่อ คุณแม่ รับฟังครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง หรือแม้แต่เขาเป็นเด็ก ๆ เราก็ต้องรับฟังเขา ผู้ที่ตั้งใจฟังด้วยดีย่อมเกิดสติปัญญา...

ถ้าเราไม่ตั้งใจฟัง เรามีหูดีก็เท่ากับคนหูหนวก...

คนเรานะสิ่งไหนดี ๆ มันไม่อยากฟัง สิ่งดีมีประโยชน์มันไม่อยากฟัง มันอยากฟังแต่สิ่งที่ทำให้จิตใจเคลิบเคลิ้ม หลงใหล อย่างเพลงอย่างดนตรีมันชอบฟัง แต่สิ่งไหนดีเป็นหลักการมันไม่อยากฟัง

คนเรามันต้องเข้าใจจริงนะ สิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นถ้าเราไม่ตั้งใจฟังมันไม่รู้หรอก

เราอยู่ที่บ้านที่ครอบครัว เราก็ได้อาศัยคุณพ่อคุณแม่เป็นกัลยาณมิตร เมื่อเราออกจากบ้าน เราไปโรงเรียน ก็ได้ครูบาอาจารย์แล้วก็ได้เพื่อนที่เรียนชั้นเดียวกัน หรือเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง เป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์กันในการดำเนินชีวิต ในการศึกษาหาความรู้

พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเรานะ เพราะการคบเพื่อนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต...

ถ้าเราคบเพื่อนดี ชีวิตของเราก็เจริญ ถ้าคบเพื่อนไม่ดี ชีวิตของเราก็ตกต่ำ
ถ้าเรามีคุณพ่อคุณแม่ที่ดี ที่ประเสริฐ ที่มาตรฐาน ชีวิตของเราก็ได้ดีระดับหนึ่ง
ถ้าเราไปโรงเรียน ไปได้ครูดีอีก ความดีของเรามันก็เพิ่มขึ้น

พ่อแม่ ผู้ปกครองที่เรามองดูสังเกตดู มักจะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนที่มีครูสอนดี ๆ...

เราไปอยู่ในโรงเรียน เพื่อนเราเยอะ ๆ มันมาจากลูกหลายพ่อหลายแม่ มีทั้งคนดีคนไม่ดี บางคนก็มาจากลูกคนรวย แต่เป็นคนไม่ค่อยจะดี ดีนิดหน่อย อาศัยพ่อแม่มีเงินมีสตางค์ เลยเข้ามาเรียน

พระพุทธเจ้าท่านเมตตาให้เราคบเพื่อน คบมิตร คนไหนมันไม่ค่อยดี นิสัยไม่ค่อยดี มีความประพฤติในทางตกต่ำ ให้เราคบค้าสมาคมกับเขาเพียงเล็กน้อย

ให้เลือกคบเลือกสมาคม กับคนดี เพราะการคบเพื่อนมันเป็นความเจริญเป็นความเสื่อมนะ...

พระพุทธเจ้าท่านได้เมตตาตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ ชีวิตของเราทำอย่างไร ถึงจะเจริญ...?” พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกว่าอยู่ที่ “การคบเพื่อน การคบกัลยาณมิตร...”

อย่างทุกคนได้พบพระพุทธเจ้า ได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผู้นั้นก็เจริญ

การอยู่ในโลกนี้ อยู่ในสังคมนี้ มันจะให้มีคนดีทั้งหมดมันไม่ได้ แม้แต่ตัวเราเองยังต้องพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

คนเราทุกคนต้องมีเพื่อนนะ ทุก ๆ คนต้องเลือกเอาเพื่อนที่ดี ถ้าคนไม่มีเพื่อนมันเป็นทุกข์นะ

อย่างพระเรานี้จะเอาอะไรเป็นเพื่อน...?

ถ้าจะมองดูแล้ว พระพุทธเจ้าท่านให้เอาศีลเป็นเพื่อน ให้เอาธรรมเป็นเพื่อน ให้เอา ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเพื่อน ให้เราปรับใจเข้าหาศีล หาธรรม มีธรรมะเป็นเครื่องอยู่ หรือเป็นเพื่อนอยู่

อย่างเราเป็นเด็กเราก็ต้องมีเพื่อน เราเป็นผู้ใหญ่เราก็ต้องมีเพื่อน...

ที่เขาแต่งงานมีครอบครัว เขาต้องการมีเพื่อนที่ดี ถ้ามันรุ่นเดียวกัน มันเข้าใจกันดี เหมือนเด็ก ๆ มันก็ชอบตุ๊กตาเหมือนกัน การละเล่นเหมือนกัน อย่างเขาเป็นคนเกะกะเกเร อย่างนี้แหละ ก็ชอบไปคบเพื่อนเกะกะเกเร

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราสรรหา ให้เรากระตือรือร้นในการคบเพื่อนที่ดี เพราะเพื่อนนี้ทำให้เราเจริญ ทำให้เรารวย ทำให้เรามีคุณธรรม เราจะได้เห็นได้ฟังแต่ตัวอย่างที่ดี ๆ

ในวัยของเด็กมันคึกคะนองเพราะร่างกายกำลังแข็งแรง มันชอบประมาทนะ มันเพลิดเพลินในความแข็งแรงของร่างกาย มันชอบเล่น ชอบเที่ยว ชอบลุ่มหลงในเพลงในคอนเสิร์ต หลงในวัยหนุ่ม วัยสาว

ทุกท่านทุกคนต้องบังคับตนเอง เรื่องที่ไม่ดี อย่างเรื่องเหล้า เรื่องบุหรี่ เรื่องเที่ยว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันจะทำให้ชีวิตของเราเสียศักยภาพ ทำให้ชีวิตของเราสะดุด เพราะระยะนี้กำลังหลงในวัย ถ้าจิตใจของเราไม่แข็งแรง ความตั้งมั่นของเราไม่แข็งแรง สติสัมปชัญญะของเราก็จะถูกสิ่งต่าง ๆ ดูดไปหมด ชีวิตของเรามันจะสะดุดนะ...

ให้ทุกท่านทุกคนดูแลตัวเอง คอนโทรลตัวเอง สมองของเรากำลังจัดจ้าน กำลังพุ่งแรง เราต้องมีสติรวดเร็ว ว่องไว อันไหนไม่ดีก็อย่าไปพูดไปทำมัน พยายามฝึกสมาธิไว้เยอะ ๆ ฝึกหายใจเข้าให้มันสบายไว้ หายใจออกให้มันสบายไว้ อย่างชั่วโมงหนึ่งเราอาจจะหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบายซัก ๓ ครั้ง ก็ประมาณ ๒๐ นาที ต่อ ๑ ครั้ง เพื่อเป็นการดึงสติสัมปชัญญะ ของเรากลับมา นอกจากนั้นให้เอาลมหายใจของเราอยู่กับการเรียน การทำงาน เพื่อดึงสติสัมปชัญญะของเรากลับมา

ผู้ใหญ่เขาชอบพูดกัน เด็กมันอายุเท่านี้เท่านี้มันบอกไม่ฟัง...

นี่จริง นี้ถูกต้อง เพราะสาเหตุมันควบคุมตนเองไม่ได้ กำลังถูกกิเลสถลุง...!

ตอนค่ำก่อนนอนก็ควรจะกราบพระไหว้พระนั่งสมาธิ ฝึกปล่อยวางเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่เราได้รู้ ได้เห็น ได้ฟัง ไม่ว่าเรื่องที่ดีที่ชั่ว เรื่องที่สวย ที่หล่อ ที่ยากลำบาก ปล่อยวางให้หมด

มาหายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย มารู้ลมเข้าให้สบาย มารู้ลมออกให้สบาย มาทำงานอยู่กับลมหายใจ งานหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย รู้ลมเข้าสบาย รู้ลมออกสบาย มามีความสุขกับการหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย มามีจิตใจเป็นหนึ่งกับลมเข้าสบาย ลมออกสบาย “เราทำอย่างนี้มันดีมีประโยชน์ สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ประสบพบเจอที่ผ่านมาจะได้เอาทิ้งออกไป จะได้ลบออกไปนะ...” ให้เราทำอย่างนี้ทุก ๆ วัน ถือว่าเป็นหน้าที่ของเรา เป็นความดีของเรา

สิ่งเหล่านี้มันสำคัญนะ ไม่ใช่สิ่งไม่สำคัญ...

คนเราส่วนใหญ่มันอยู่กับเรื่องอดีตเป็นสิ่งใหญ่ “กรรมคือการกระทำ กระทำวันนี้ เดี๋ยวจะเป็นผลของวันพรุ่งนี้ไป...”

การที่เรามาทำสมาธิก็เพื่อจะให้ใจของเรานิ่ง ใจของเราสงบ ใจของเรามีพละกำลัง จะได้ยับยั้งชั่งใจนะ “อันไหนผิดแล้วก็แล้วไป เอาใหม่ พรุ่งนี้ไม่ทำอีก ไม่พูดอีก ไม่คิดอีก...”

สมาธิคือความสุข คือความสงบ คือความเย็นอกเย็นใจ ไม่มีทุกข์

สมาธินี้ทุกคนต้องใช้ ใช้ประกอบกับชีวิตประจำวัน คนไม่มีสมาธินี้แย่มาก มีทุกข์มาก มีทุกข์หลาย เพราะใจไม่สงบ

“ความดับทุกข์ของคนทุกคนมันอยู่ที่ใจสงบ...” ความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจสงบ อยู่ที่ใจมีสมาธิ เพราะถ้าเรามีเงินมาก ถ้าเรามียศมาก แต่ใจเราไม่สงบ เราก็ไม่มีความสุขนะ...

พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เอาทรัพย์นั้น เอายศนั้นมาทำประโยชน์ เอามาเกื้อกูลคนอื่น เอามาช่วยเหลือคนอื่น เมื่อคนอื่นได้รับความสุขสงบ ความสุขความดับทุกข์ก็จะกลับมาหาตัวเราเอง ให้เราเอาตัวอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คนอื่นได้รู้ ได้เห็น ได้ฟังก็มีความสุข


ผู้ที่มีทรัพย์มีตำแหน่ง ถ้าเราไปใช้เพื่อเกื้อกูลช่วยเหลือมันก็มีประโยชน์ เป็นอริยทรัพย์..

คำว่า “อริยทรัพย์” เป็นศัพท์ภาษาบาลี ถ้าภาษาไทยก็คือ “ความดี” เป็นคุณธรรมที่จะติดตามไปกับเราได้ทุกภาพทุกชาติที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด 

ใครจะรวยหรือใครจะจน สิ่งที่ดีที่ถูกต้องคือที่เราเกิดมาแล้วต้องเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ

บางทีเราก็คิดว่าเพราะเราไม่มีอะไร เราจะเสียอะไร ? “มี” เรามีสิ่งที่ต้องเสียสละมาก...

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ที่เราอยากจนเพราะเราเป็นคนไม่เสียสละ” สิ่งที่เราจะต้องเสียสละได้แก่ ความขี้เกียจขี้คร้าน ความไม่อดไม่ทน ความไม่ตั้งใจ

การคบเพื่อนไม่ดี รวมถึงอบายมุขต่าง ๆ ทุก ๆ ท่าน ทุก ๆ คนต้องเสียสละ ให้กลับมาหาตน เพราะเราไม่เสียสละ มันถึงเป็นอย่างนี้ มันถึงมีปัญหาอย่างนี้...

อย่างเราเป็นนักเรียน เราต้องเป็นผู้เสียสละมาก ๆ เราถึงจะได้คะแนนดี


อย่างเป็นคุณครู เราก็ต้องเสียสละมาก มีความเมตตา มีความกรุณา “ตั้งใจสอนนะ...” เพราะคุณครูเป็นอาชีพที่ได้บุญได้กุศลมาก “ต้องสอนออกมาจากใจ” มีความปรารถนาดีให้ลูกศิษย์ลูกหาเข้าใจ ให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนดี ไม่ใช่สักแต่ว่าสอนให้ผ่านพ้นไปเป็นวัน ๆ สอนเพื่อเอาเงินเดือนเพื่อยังชีพ ถ้าเราคิดอย่างนี้มันไม่ถูก เราไม่ใช่คนเสียสละ เราเป็นคนเอา การเป็นครูของเราก็เป็นบาป จิตใจของเราไม่เจริญ ประเทศชาติไม่เจริญ

ความเมตตาของเรามันมีน้อย ความเห็นแก่ตัวมันมีเยอะ เพราะว่าพ่อแม่ของเด็ก เขามอบความหวังไว้ที่คุณครู ว่าลูกต้องเป็นคนดี คนเก่ง คนกตัญญู
ท่านที่เป็นคุณครูต้องเจริญเมตตาให้มาก ๆ นะ...

 

ค้นคว้าพัฒนาเอาความรู้ความเข้าใจมาบอกมาสอน เราเป็นคุณครูเราสอนความรู้ ความเข้าใจให้เด็ก แต่วิชาทุกอย่างอย่าลืม “แทรกความดี แทรกคุณธรรม” ไปด้วย

ถ้าเราไปสอนให้เขาเป็นคนเก่ง คนฉลาด ไม่สอนเรื่องคุณธรรม เด็กเหล่านี้เมื่อโตมา เป็นผู้ใหญ่ “ก็พากันกินบ้านกินเมือง” มันจะฉวยโอกาส เอาเปรียบเอารัดบุคคลที่ด้อยโอกาส ด้อยพัฒนากว่าตนเอง

ที่ทุกคนตั้งใจเรียนหนังสือแต่เด็กอนุบาลจนถึงด๊อกเตอร์ จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นคนเก่ง คนฉลาด เป็นคนรู้จริง เพื่อมาช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือประเทศชาติ เพื่อมาแบ่งปันความสุขความดับทุกข์ ไม่ใช่ให้เรียนมาแล้วก็หาช่องทางที่จะเอาเปรียบคนอื่น ทำอาชีพบนหลังคนที่กำลังทุกข์ยากลำบาก มาเอาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอย่างนี้มันไม่ดี ไม่ถูกต้อง

เราต้องมาแบ่งปัน เรามาแชร์กัน

คนเราส่วนใหญ่มันคิดเรื่องทำมาหากิน ทำอย่างไรถึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่ว่าทำเกษตรกรรม การค้าขาย การปกครอง แต่ส่วนใหญ่มันขาดความดี ขาดคุณธรรม ขาดความเอื้ออาทร ขาดความเมตตา ขาดความสงสารกัน


คุณธรรมมันต้องสอนตั้งแต่เด็ก ๆ นะ...

เริ่มจากคุณพ่อ คุณแม่ คุณครูนั่นแหละ สังคมโดยรวมมันจะได้ดีขึ้น ธรรมาธิปไตย มันถึงจะเกิด เราจะเอาอัตตาธิปไตย เอาตัวตนเป็นใหญ่มันไม่ได้ มันไม่ดี

เราจะเอาประชาธิปไตยมันก็ดีขึ้นมาบ้างนิดหน่อย แต่มันก็ยังถือพรรคถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ มันยังมีการซื้อเสียง ซื้อคะแนน มันมีการแตกแยกความสามัคคี แบ่งเป็นพรรคเป็นพวก ขาดความรักความเมตตา ขาดความสามัคคี มันมีการชุมนุม มีการเดินขบวน มันไม่เหมือนธรรมาธิปไตย คือเอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นประธาน เคารพในเวลา เคารพในกติกา เคารพในระเบียบวินัยของประเทศชาติ กฎหมายบ้านเมือง

ต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ ทุกคนทำได้ ทุกคนปฏิบัติได้ ให้เข้าใจดี ๆ เข้าใจให้ถูกต้องอย่างนี้ ขบวนการของตัวเราเองตั้งแต่เกิดจนอวสานของชีวิตจะได้มีประโยชน์ชื่อว่า “สุคโต” เป็นผู้เกิดมาดี เมื่อจากโลกนี้ก็ไปดี นำอริยทรัพย์ติดตัวไปด้วย

อย่างน้อยเราก็เป็นตัวอย่างคนหนึ่งให้คนได้รู้ได้เห็นได้ปฏิบัติกัน เพราะการพูดเป็นร้อยครั้ง ก็สู้การทำเป็นตัวอย่าง การทำให้ดูไม่ได้

ทุกคนคิดนะ คิดว่าความดีทำได้ยาก ในโลกนี้จะมีคนทำได้เหรอ...? พากันคิดอย่างนี้

ถ้าสิ่งไหนเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงบอกทรงสอนนะ “มันเป็นไปได้...”

เรามองย้อนกลับมาหาตนเอง คนอื่นจะดีจะชั่วช่างเขา เราจะตั้งมั่นในความดี ให้ถือว่าเราเกิดมาคนเดียวละสังขารคนเดียว จะใช้ชีวิตให้มีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

เราจะเสียสละ เราจะทำความดี เมื่อเรามีลมหายใจถือว่าเราเป็นผู้มีบุญมีวาสนา
เราไม่มองดูคนอื่นให้มองดูตนเอง ถ้ามองคนอื่นเดี๋ยวมันจะสับสน จิตใจมันจะง่อนแง่น คลอนแคลน จิตใจจะตก จิตใจจะเสื่อม

ให้ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เราจะได้มีกำลังใจ

เราอย่าไปมองบุคคลที่ไม่เป็นตัวอย่าง เราเสียกำลังใจ “กรวดทรายมันมีเยอะ แต่มันไม่มีค่าเท่ากับเพชรเม็ดโต ๆ”

เราอย่าไปมองอย่างนั้นมันไม่ดี ไม่ถูก เราดูโลกดูสังคม อันไหนดีเราก็เอา อันไหนไม่ดีเราก็ทิ้ง เรามองให้เกิดสติเกิดปัญญา ทุกอย่างล้วนแต่นำความฉลาดมาให้เรา

ในชีวิตประจำวัน “ผิดเป็นครู เราอย่าทำตาม รู้ก็เป็นสิ่งที่ดีนะ...”

เราต้องให้ความรักความเมตตาต่อตนเอง เพราะตนเองต้องการความรักความเมตตา ในการเสียสละยิ่ง ๆ ขึ้นไป

โอกาสมันเป็นของเรา เราจะไปประมาทไม่ได้ “เพราะความประมาทความชะล่าใจ คือความผิดหวังที่เกิดขึ้นแก่เรา...”

หวังว่าทุกท่านทุกคนจะได้น้อมนำพระธรรมที่ประเสริฐ เพื่อไปประพฤติปฏิบัติสร้างปฏิปทาให้กับตนเอง และมีประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งหลายทั้งปวง...



 

พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
วันพุธที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

http://portal.in.th/i-dhamma

 

หมายเลขบันทึก: 486942เขียนเมื่อ 3 พฤษภาคม 2012 16:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 17:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท