ขยายเครือข่าย ... ร่วมด้วยช่วยกัน ให้ สว. ฟันดี ภาคเหนือ (4) สุนทรียปรัศนี ตอนที่ 2 4D Model


 

อ.อุทัยวรรณ และ อ.ปิง จัดกระบวนการต่อค่ะ

เราจะเริ่มต้น ณ จุดปัจจุบัน เพื่อทำงานตามปณิธานไปสู่อนาคต เพราะว่า สิ่งที่จะมาถึง ไม่ใช่วัตถุประสงค์เดิมแล้ว วัตถุประสงค์เราจะต้องเปลี่ยนแปลง ... จะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร ขึ้นอยู่กับผู้คนที่เป็นผู้นำชุมชน ผู้นำทางสังคม และผู้นำการเปลี่ยนแปลง

เราจะเริ่มต้นที่

ร่วมค้นพบสิ่งดี ชื่นชม

กระดาษสีฟ้า สื่อความหมาย จากคำถามที่ว่า ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปฏิสนธิ ออกจากครรภ์มารดา จนกระทั่งมานั่งอยู่ที่นี่ ท่านรู้ครับว่า ท่านมีดีอะไร มีความสามารถอะไร มีพรสวรรค์อะไร มีทักษะในการทำอะไรๆ ที่ท่านภาคภูมิใจ เล่าให้คู่สนทนาฟัง

ร่วมทอฝัน อย่างสมศักดิ์ศรี

คู่สนทนา เป็นผู้บันทึกลงในบัตรกระดาษสีฟ้า

กระดาษอีก 3 สี แผ่นแรกให้เขียนคำเล็กๆ ว่า “ตนเอง” สีเหลือง แผ่นที่สองให้เขียนคำว่า “ทีมงาน” สีเขียว และแผ่นที่สาม สีชมพู เขียนคำว่า “ชุมชน”

ต่อไปนี้เป็นคำถามเดียว เขียนใน 3 แผ่น ... ให้เขียน สมมติว่าท่านเป็นพระอินทร์ หรือจินนี่ หรือใครที่เนรมิตได้ ภายในช่วงนี้ ต่อไปข้างหน้า เมื่อท่านมาทำงานในโครงการนี้ ท่านหวังจะเห็นอะไร กับตัวเอง คาดหวังจะเห็นอะไรกับเพื่อนร่วมงาน และท่านหวังจะเห็นอะไรกับชุมชน

กอดให้พลังตัวเอง กันก่อนนะคะ

เรื่องเล่า ของพี่สาว กับน้องชาย

ในหมู่บ้านห่างไกลผู้คน ... พี่สาว มีน้องชายอยู่ 1 คน อายุต่างกัน 3 ปี วันหนึ่ง พี่สาวขโมยเงินพ่อ เพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ มีกัน พอพ่อรู้เรื่อง พ่อให้ทั้งสองึคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน ถามว่า “ใครขโมยเงินไป"

พี่สาวกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายก็เช่นกัน เมื่อไม่มีคนยอมรับ พ่อบอกว่า ถ้าไม่มีคนยอมรับ ฉันจะตีทั้งคู่ น้องชายก็บอกว่า ผมครับ เป็นคนขโมยเงินของพ่อไป พ่อก็เลยตีน้องชายจนน่องแตก

คืนนั้น พี่สาวกอดน้องชาย และพูดว่า เธอไปรับแทนพี่ทำไม เพราะว่าพี่เป็นคนขโมยเงินนั้นไป น้องชายบอกว่า พี่จะพูดถึงมันทำไม เรื่องมันผ่านไปแล้ว

จนกระทั่งวันหนึ่ง (พี่สาวเรียนอยู่ชั้น ม.6 น้องชายเรียนอยู่ชั้น ม.4) คืนหนึ่ง ทั้งคู่อยู่ในห้อง ได้ยินพ่อกับแม่คุยกันข้างนอกว่า ลูกของเราก็เรียนหนังสือเก่งนะ เพียงแต่ครอบครัวเรายากจน พ่อก็พูดว่า พรุ่งนี้ ท่าจะต้องเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อที่จะขอยืมเงิน เพื่อให้ลูกเราได้เข้าไปสอบ เรียนมหาวิทยาลัย น้องชายได้ยินก็ออกมาจากห้องแล้วบอกพ่อว่า พ่อไม่ต้องไปยืมเงินหรอก ผมจะลาออกจากโรงเรียน พรุ่งนี้ผมจะไปเป็นกรรมกร มาช่วยคุณพ่อหาเงิน

พ่อก็บอกว่า แกสิ้นคิดแล้วหรือ ทำไมโง่ดักดาน ไม่ยอมเรียนหนังสือ ว่าแล้วก็ตบหน้าลูกชาย

พอน้องชายกลับเข้าไปในห้อง พี่สาวมากอดน้องแล้วร้องไห้ บอกว่า เธอไปพูดจาขัดคอพ่อทำไม เห็นมั๊ย จนโดนตบหน้า

น้องชายบอกพี่สาวว่า พี่จะพูดถึงมันทำไม เรื่องมันผ่านไปแล้ว

รุ่งเช้าน้องชายก็หายออกจากบ้าน ทิ้งจดหมายให้พี่สาวว่า ขอให้พี่ตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ผมจะเข้าไปอยู่ในเมืองเพื่อเป็นกรรมกรเพื่อหาเงินช่วยพ่อ ให่ได้ส่งพี่เรียน ... พี่สาวก็ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย

วันหนึ่ง ช่วงที่พี่สาวอยู่ปีที่สาม เพื่อนที่อยู่ในห้องเดียวกัน ขึ้นมาบอกว่า มีคนงานที่บ้านเธอมาหา

พี่สาวก็แปลกใจว่า บ้านไม่มีคนงาน ก็เดินมาข้างล่าง เจอน้องชายแต่งตัวเป็นกรรมกร พี่สาวเห็นน้องเข้าไปกอดและร้องไห้ บอกว่า เธอทำไมไม่บอกว่า เป็นน้องพี่ บอกได้ยังไงว่าเป็นคนงานที่บ้าน น้องชายก็บอกว่า พี่ ผมแต่งตัวซอมซ่ออย่างนี้ ผมกลัวพี่จะอายเพื่อนๆ ว่าแล้ว น้องชายก็ดึงเอาโบว์ผูกผมที่วัยรุ่นกำลังฮิตกัน ออกมา 2 คู่ ให้พี่สาว บอกว่า ผมซื้อมาให้พี่ เพื่อให้พี่ผูกผม จะได้ไม่อายเพื่อนๆ พี่สาวเห็นแล้ว กอดน้องและร้องไห้ บอกว่า มายุ่งยากสิ้นเปลืองทำไม น้องชายก็ตอบว่า พี่จะไปพูดถึงมันทำไม เรื่องมันผ่านไปแล้ว

จนกระทั่งพี่สาวเรียนจบ และมีแฟน แฟนเป็นผู้บริหาร เป็นกรรมการบริษัท
วันหนึ่ง พี่สาวพาแฟนไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้าน พอไปถึงบ้านก็แปลกใจ บ้านสะอาดสะอ้าน กระจกที่บ้านที่เคยแตก ก็เปลี่ยนใหม่หมด ก็ถามคุณแม่ว่า ใครมาทำความสะอาดบ้านให้เรา แม่ก็บอกว่า น้องชายเขาลาหยุดงาน 1 วัน เพื่อมาทำความสะอาดบ้าน และซื้อกระจกมาเปลี่ยนใหม่ จนกระทั่งถูกกระจกบาดมือ อยู่หลังบ้าน

พี่สาวก็เดินไปหลังบ้าน เห็นน้องชายมือเปรอะไปด้วยเลือด มีผ้าพันไว้ ก็เข้าไปกอดน้อง และบอกว่า น้องจะไปยุ่งยากทำไม แฟนพี่ถ้าเขารักพี่จริง เขาก็จะสนใจมาดูแล เห็นมั๊ย ทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บ น้องชายก็บอกว่า พี่จะไปพูดถึงมันทำไม เรื่องมันผ่านไปแล้ว

จนกระทั่งพี่สาวได้แต่งงาน พอแต่งงานพี่เขยของตัวเองเป็นกรรมการบริษัท พี่สาวก็เลยชวนน้องชายมาทำงานบริษัท จะยกให้เป็นหัวหน้าแผนก น้องชายปฏิเสธ บอกว่า หนึ่ง ผมมีความรู้น้อย สอง พี่จะเสียคน เพราะเอาญาติ เอาน้องตัวเองมาเป็นหัวหน้า ซึ่งไม่ได้ผ่านประสบการณ์อะไรเลย ผมขอเป็นคนงานปกติ

พี่สาวไม่สามารถขัดใจน้องชายได้ วันหนึ่งน้องชายขึ้นไปทำงานบนที่สูง บันไดมันลื่น ตกลงมาแขนหัก นอน รพ. พี่สาว เข้าไปเยี่ยม กอดน้องร้องไห้ พร้อมกับดุว่า เห็นมั๊ย บอกให้เป็นหัวหน้าแผนกไม่ยอมเป็นไปทำงานเป็นคนงานงกๆ จนกระทั่งได้รับอุบัติเหตุ ต้องนอน รพ. น้องชายก็บอกว่า พี่จะไปพูดถึงมันทำไม เรื่องมันผ่านไปแล้ว

จนกระทั่งวันหนึ่ง น้องชายได้พบกับผู้หญิงคนงาน ชอบพอกันก็เลยแต่งงานกัน พิธีกรบนเวที ถามเจ้าบ่าวว่า ในชีวิตของคุณ คุณรักใครมากที่สุด น้องชายตอบว่า ผมมักจะพูดกับพี่สาวผมว่า พูดถึงมันทำไม เรื่องมันผ่านไปแล้ว … แต่วันนี้ ผมจะเล่าเรื่องมันผ่านไปแล้วให้พี่ฟัง

คนที่ผมรักที่สุดในชีวิต คือ พี่สาวผม เพราะว่า วันหนึ่ง หิมะตกหนัก บ้านของเราอยู่ห่างจากโรงเรียน ตอนนั้นผมอยู่ชั้น ป.1 พี่สาวอยู่ ป.3 บ้านของเรา เราต้องเดินไป รร. 4 กม. ไป-กลับ 8 กม. ปรากฎว่า ถุงมือของผมหายไปข้างหนึ่ง หิมะตกหนัก พี่สาวผมถอดถุงมือให้ผมสวม แล้วกลับมาคืนนั้นหิมะกัดมือพี่สาวจนบวม แบะเธอนอนร้องไห้ตลอดคืน ผมก็เลยบอกในใจว่า ในชีวิตผมจะต้องรัก และปกป้องพี่สาวของผมจนถึงที่สุด

ณ วันนี้ คนที่เป็นพี่สาวอายุประมาณ 89 ปี เป็นประธานกรรมการบริษัท รถยนต์ในเกาหลี เรียกว่า ฮุนได ส่วนน้องชายหลังจากแต่งงานก็เก็บหอมรอมริบ เจียดเงินแล้วก็ก่อตั้งบริษัทไฟฟ้าเล็กๆ บริษัทหนึ่งในเกาหลี ชื่อว่า บริษัท ซัมซุง

อ.ปิง ตามด้วยกิจกรรม ... ผู้นำ ล้วนแล้วแต่ปรับเปลี่ยนไป ตามบริบท

แปลผลได้เป็น การฝึกทำงานทุกๆ อย่าง เราจะต้องอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง ก็คือ สมาชิก วิธีการกลั่นกรองว่า ยอมรับผู้อื่นไหม พอเราเป็นผู้นำ เราก็นำไป ผู้อื่นเขาก็ทำตาม พอถึงตอนที่คนอื่นเขาเป็นผู้นำบ้าง เราเคยเป็นผู้นำ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นผู้ตาม ทั้งผู้สูงอายุ ทั้งคนที่อายุน้อย ทั้งนักวิชาการ ทั้งหมอ ทั้งนักวิชาการ ทุกคนสามารถเป็นทั้งผู้นำ และผู้ตามได้ สำคัญที่ว่า การกระทำอะไรก็ตาม ถ้าเปลี่ยนผู้นำแล้ว อย่าให้สะดุด ก็ทำต่อเนื่องไปด้วยความสวยงาม

การทำงานที่ดี ต้องมี หนึ่ง คือ สติ สอง ใช้สมาธิ สาม ยอมรับซึ่งกันและกัน สี่ เปลี่ยนกันเป็นผู้นำ เป็นผู้ตาม และห้า งานต่างๆ ต้องเชื่อมต่อกัน

เมื่อเราเอาสิ่งดีดีมาพิจารณาร่วมกัน แล้วเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้ด้วยกัน มันกลายเป็นพละปัจจัย หรือพลังที่ทำให้อนาคต เราจะเคลื่อนเกี่ยวกับอะไรก็ได้ในโลกนี้ ไม่ได้เฉพาะเรื่องฟัน แต่เป็นเรื่องของชีวิต ชุมชน ประเทศ ระบบ ได้ทั้งหมด

ตอนนี้ เป็นการสร้าง โมเดลความคิด ที่มีอยู่ระหว่างคน และกลายเป็นกลุ่ม เป็น "โมเดล สว. พัฒนาในชุมชนของท่าน จังหวัด อำเภอ หรือตำบล" โดยใช้ ขุมพลังปัญญา ในกระดาษสี และสิ่งที่คิดว่า มาเป็นสัญญลักษณ์ แสดงให้เห็นเป็น โมเดล

ร่วมออกแบบทำงาน อย่างสุนทรีย์

โดยวางแผนปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาทันตสุขภาพของชุมชน

โดย กำหนดเข้าไปในหัวใจ ด้านซ้าย/ขวา กับคำถามที่ว่า "เมื่อท่านทำงานสำเร็จลง ประชาชนจะได้รับประโยชน์อะไรจากโครงการนี้" และ "เมื่อโครงการของท่านสำเร็จลง ทีมงานของท่านจะได้รับประโยชน์อะไร หรือได้รับการกล่าวขาน ชื่นชม พูดถึงท่านในทางที่ดี จากผู้สูงอายุ ชาวบ้าน อย่างไร"

มอง จุดเด่น หรือจุดแข็ง และ ข้อด้อย หรือจุดอ่อน หรือข้อจำกัด เรามีจุดแข็ง หรือจุดอ่อนอย่างไรบ้าง

และนำ ความทุกข์ ความท้อถอย มาทำให้เกิดปัญญา เพราะว่า เมื่อไรก็ตามที่ท่านทุกข์ ท้อถอย หรือมีความรู้สึกว่าเจออุปสรรค เราจะทำให้สิ่งที่ปรากฎ เป็นคำปฏิญญาณ หรือสัญญาใจ หรือคาถา ต่อกัน ด้วยการเขียนเป็นคำร้อยแก้ว เป็นประโยคง่ายๆ สั้นๆ เริ่มต้นว่า จุดอ่อนของเรามีอะไร และเปลี่ยนข้อลบให้เป็นข้อบวก เช่น

  • การประสานงานไม่ดีพอ ... ข้าพเจ้าขอสัญญาว่า จะมีการประสานงาน การทำงานที่ดี ...
  • มีเวลาจำกัด หรือเวลาไม่ค่อยตรงกัน ... ข้าพเจ้าขอสัญญาว่า จะวางแผนเวลาให้ชัดเจน และทำทันที
  • ผู้บริหารของพวกเรามีมุมมองคนละทิศคนละทาง ... ข้าพเจ้าขอสัญญาว่า จะพยายามจะสื่อสารให้ผู้บริหารเข้าใจ ในทิศทางเดียวกัน ...

ร่วมสร้างสรรค์สิ่งดี เพื่อสังคม

ด้วยพันธะสัญญาใจร่วมกัน "เรามุ่งมั่นที่จะ ..."

 

คำสำคัญ (Tags): #สุนทรียปรัศนี
หมายเลขบันทึก: 486737เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2012 14:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 17:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท