ใจที่เห็นชอบ


พญ อมรา มลิลา

 

ใจที่เห็นชอบ - พญ อมรา มลิลา

 
ถ้าชอบ กรุณาดาวน์โหลดหนังสือ ของท่านเอาไว้อ่านได้ที่นี่ ที่บางเล่มหาอ่านได้ยากมาก
บางคนไม่เชื่อว่าของดีและฟรีนั้นมีจริง
มีจริงครับ เชื่อผมเถอะ
 
 

ถ้าเราตามมองให้เห็นวิถีจิต วาระจิตของเราได้ 
เราจะสลดใจกับตัวเอง บัดเดี๋ยวใจก็ปรารถนาอย่างนี้ 
อีกบัดเดี๋ยว ก็พลิกไปปรารถนาอย่างโน้นทุบถองต่อยตีกันเอง 
แล้วเพ่งโทษว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่ยุติธรรม 
ไม่เห็นบันดาลให้เป็นไปดังใจ 
ก็ใจเราจะเอาอย่างไร เจ้าตัวยังไม่รู้ชัดเลย 
บัดเดี๋ยวจะเอาอย่างนี้ อีกบัดเดี๋ยวจะเอาอย่างโน้น 
ตีกันอยู่ร่ำไป 

ให้ดูเอาไว้ แล้วคอยฝึกฝน คอยเอาสติจับสังเกตดู 
จะเห็นได้ชัดขึ้น จนเราเหนื่อยหน่าย 
เบื่อกับความแปรปรวนของใจ แล้วเริ่มสำรวม คอยระมัดระวัง 
จับตั้งไว้ให้แน่วแน่เที่ยงตรง 
สติเป็นหางเสือคอยกำกับ ใจจะพลิกเปลี่ยน 
สติก็ห้ามล้อทักท้วงขึ้น... จะเอายังไงแน่... 
เราเป็นคนจริง หรือคนปลอม
 
ตรงนี้แหละ ที่ช่วยให้เราเดินไปบนมรรคได้สม่ำเสมอขึ้น 

เรามาดูเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสักเรื่องหนึ่ง 
เป็นเรื่องของสภาพสตรีที่รู้จักคุ้นเคยกับดิฉัน 
เธอเป็นคาทอลิก มีลูก 3 คน 
เมื่อลูกคนเล็กอายุได้ประมาณ 5 เดือน 
คุณแม่ซึ่งเป็นมะเร็งเต้านมก็ตายไป 
ปกติคุณแม่จะดูแลหลาน คือ ลูกของเธอ 
เมื่อกลับจากโรงเรียนก็จะมีขนมของว่างที่ท่านทำเตรียมไว้พร้อม 

ตัวเธอเองทำงานรัฐวิสาหกิจ เมื่อคุณแม่ตายไป 
เธอก็ว้าเหว่ เพราะแม่ลูกคู่นี้สนิทสนมกันมาก 
ลูกๆ ก็ยกให้เป็นหน้าที่เด็กรับใช้ดูแล 
รวมทั้งข้าวปลาอาหารของว่าง วันหนึ่ง เธอนิ่งอึ้งไป 
เมื่อลูกๆ บ่นขึ้นมาว่า... ถ้าพระเจ้ามีจริง ขอเปลี่ยนกันก็ดีแหละ 
ให้พระเจ้าเอาแม่ไป แล้วแลกคุณยายคืนมา 

ฟังแล้วก็ใจหาย ถามลูกๆ ว่า... ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ... 

ลูกอรรถาธิบายว่า ถ้ามีคุณยาย ก็มีขนมแสนอร่อย 
ถูกปากไปหมดทุกอย่าง กลับถึงบ้านแล้วเหมือนขึ้นสวรรค์ 
แต่มีแม่ มีอะไรก็ไม่รู้ กินไม่ลงสักอย่าง 
แม่ยิ่งใจแห้ง พูดอะไรไม่ออก 

ช่วงนั้น ดิฉันอยู่ที่วัดท่านอาจารย์สิงห์ทอง 
เพราะคุณโยมแม่ของท่านเจ็บหนัก 
สุภาพสตรีท่านนี้แทนที่จะไปพักผ่อนสุดสัปดาห์กับครอบครัวเช่นเคย 
เธอบอกสามีว่า อาทิตย์นี้ คุณพาลูกๆ ไปเที่ยวกันเองก็แล้วกันนะ 
ฉันจะไปหาเพื่อนที่อีสาน 

เมื่อมาถึงวัด เธอก็กราบเรียนท่านอาจารย์อย่างไม่อ้อมค้อมว่า 
เธอเป็นคาทอลิค ที่มานี่ ขออนุญาตมานอนคุยกับดิฉัน 
เช้าวันอาทิตย์ก็ขออนุญาตไปโบสถ์ที่อุดร... 
ไม่ได้มาหาท่านอาจารย์ จะมานอนคุยกับเพื่อน 
ท่านอาจารย์ก็เออ ออ... เอาเลย... จะเอายังไงก็เอากัน 
จะไปโบสถ์ ท่านจะจัดรถให้ จะเอาอะไรได้ทั้งนั้น 
แต่ถึงเวลาเข้าจริง เพื่อนไม่ได้คุยกับดิฉันสักคำ 
ท่านให้เธอพักกุฎีหลังคาหญ้า 
ติดทางจงกรมและให้หัดภาวนา โดยให้เหตุผลว่า 
การภาวนานั้นเป็นสากล คริสต์ก็ทำได้ พุทธก็ทำได้ 
เป็นการฝึกเพื่อให้ใจมีกำลัง มีความสงบ 
ตกเย็น ท่านอาจารย์ลงศาลา ก็ให้เณรมาเชิญเธอไปฟังด้วย 

2-3 เดือนต่อมา วันหนึ่ง ลูกคนเล็กโผมากระแทกหน้าอกของเธอ 
ด้านเดียวกับที่คุณแม่เป็นมะเร็ง 
ทำให้เจ็บเต้านมอย่างมากมายเกินเหตุ 
เธอจึงไปให้แพทย์ตรวจ และพบว่าเป็นมะเร็งที่เต้านมข้างนั้น 
จึงกำหนดวันผ่าตัด และเธอก็ใจเสียอย่างมากๆ 
เพราะฝันว่า คุณแม่มาชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน 
ทำให้ฝังใจว่า เธอคงตายจากการผ่าตัดแน่ 
ใจก็ห่วงว่า ลูกคนเล็กจะอยู่อย่างไร 
เพราะเพิ่งอายุ 7 เดือนเศษๆ 
ในความวุ่นวายเหล่า นี้ เธอเกิดระลึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์ขึ้นมา 
ใจก็เริ่มมีสติ และจดจ่อมุ่งทำสมาธิ 
เพราะท่านอาจารย์บอกว่า ใจจะได้มีกำลัง มีความสงบ 
เมื่อใจค่อยสงบจากความว้าวุ่นวิตกกังวล 
เธอเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า เธอยังตายไม่ได้ 
ความรู้สึกนี้รุนแรงและเด็ดเดี่ยวมาก 

เธอจึงมุ่งมั่นทำภาวนาติดต่อกันเรื่อยมา 
ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลเพื่อทำผ่าตัด 
ทำให้หลังผ่าตัดเธอฟื้นตัวเร็วมาก 
แม้ว่ามะเร็งจะลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองไปแล้วก็ตาม 
บางช่วง เธอรู้สึกเป็นปกติสบาย เหมือนหายสนิท 
แต่บางช่วง มะเร็งก็กำเริบขึ้นมาใหม่ 

2 ปีต่อมา คืนหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมากลางดึก 
เพราะเจ็บลึกๆ อยู่ในสะโพกด้านขวา เจ็บจนนอนต่อไม่ได้ 
ลุกขึ้นก็เดินไม่ได้ เพราะความเจ็บ 
หายามาทา มานวด กินยาแก้ปวดก็แล้ว ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น 
ระลึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์ที่ว่า 
ถ้าทำอะไรทุกอย่างจนหมดแล้ว ยังไม่ได้เรื่อง 
ก็เอาธรรมโอสถ คือ เอาใจของเรามารักษาเรา
เธอเลยลุกขึ้น เดินจงกรม 
เจ็บ... ปวด... เอาสติกำหนดรู้ สักแต่รู้ 
เริ่มแรกก็เดินโขยกเขยก ซัดส่าย เซไปมา 
แต่เมื่อใจไม่ไปวุ่นกับความเจ็บปวด 
การเดินก็ค่อยคล่อง เป็นปกติขึ้น 
จนเป็นเดินจงกรมที่สงบสำรวม รู้ตัวทั่วพร้อมในที่สุด 

ชีวิตของเธอเป็นอยู่ได้ด้วยการภาวนา 
เพื่อบำบัดความทรมานจากความกังวล ความเจ็บปวด 
โดยเธอก็ไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังภาวนาอยู่อย่างต่อเนื่อง 
เธออยู่มาตั้งแต่มะเร็งเริ่มที่เต้านม 
กระจายไปที่กระดูกสะโพก ลุกลามไปกระดูกสันหลัง 
ไปที่ตับ ที่ปอด รวมเวลาทั้งหมดได้ 17 ปี 
ตั้งแต่ลูกคนเล็ก 7 เดือน จนลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ 

ร่างกายของเธอ ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นบ้าน 
ก็คงเป็นบ้านที่ถูกปลวกกินจนหาชิ้นดีไม่ได้ 
เผลอหายใจแรงไปหน่อย ก็อาจเสียสมดุล 
ลมหายใจสะดุดหยุดไปได้ 
ใจของเธอที่เฝ้าฟูมฟักรักถนอมลูกมา 
คงเห็นตามความจริงว่า ลูกเติบใหญ่พอที่จะพึ่งพาตัวเองได้แล้ว 
จึงคลายความยึดมั่นที่ว่า เธอยังตายไม่ได้ 
ค่อยวางกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ 
คือ พร้อมจะตายอย่างมีหลักใจ ไม่ใช่เสียสติ 
กระเซอะกระเซิงคุ้มตัวไม่รอด

สภาพตอนสุดท้ายของเธอ ซึ่งมะเร็งกระจายไปที่ปอด 
ที่ตับ มีน้ำทั้งในช่องปอด ในช่องท้อง 
เป็นคนไข้ทั่วไป ต้องทุรนทุราย ครวญครางไม่มีเวลาสงบ 
แต่เธอมีสติ กำหนดรู้อยู่จนลมหายใจสุดท้าย 
 


เราทุกคนประทับใจกับการตายอย่างสง่างามของเธอมาก 
และเห็นชัดว่า ใจนี้สำคัญจริงแท้ 
ถ้าเรามุ่งมั่นปรารถนา แล้วปักใจลงมือกระทำ 
เราสามารถฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามได้ทุกอย่าง 
จนสำเร็จดังใจปรารถนา ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ 
เธอก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นภาระกับคนรอบข้าง 
แต่อยู่อย่างนักศึกษาผู้เก็บเกี่ยว เรียนรู้จากประสบการณ์ 
เพื่อทำใจให้พัฒนาก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
 
ลูกคนโต ซึ่งคุ้นเคยกับการเห็นแม่ 
พออะไรผิดปกติ อาการเจ็บไม่ดีขึ้น 
...ภาวนาก่อน คิดอะไรไม่ออก 
...ภาวนาก่อน ไม่มีอะไรทำ 
...ภาวนาก่อน ตอนที่แม่จะตาย 
ลูกคนโตจบปริญญาโทแล้ว มาช่วยดูแลแม่ 
พอเห็นแม่เผลอเอาใจไปเกาะเกี่ยวกับความเจ็บปวด 
ลูกจะเตือน... แม่จ๊ะ พุทโธจ้ะ... 

ช่วงสุดท้ายที่แม่นอนแบบติดเตียง ลุกไม่ได้ 
ลูกเอาสติ๊กเก้อร์ที่มีคำว่า สติ 
ไปติดไว้บนเพดานตรงระดับตาแม่ 
พอแม่ลืมตาขึ้น ก็พบสติ เตือนความจำอยู่บนเพดาน 
คำว่า อภัยและเมตตา อยู่ที่กำแพงด้านปลายเตียง 
เรียกว่า สรรหาเครื่องเตือนใจสารพัดมาไว้รอบตัวแม่ 

เธอเล่าว่า เธอชื่นใจที่ลูกๆ พึ่งตัวเองได้ 
มีหลักใจของตัว ทำให้เธอแน่ใจ มั่นใจ หมดห่วง 
ถึงตายไป สิ่งที่คิดจะสอนลูก ก็มีอยู่ในใจลูกครบถ้วนหมดแล้ว 
คือ เธอได้ทำหน้าที่ของเธอ 
จนตระหนักชัดในใจว่า ทุกสิ่งเรียบร้อยสมบูรณ์ 
ถึงอยู่ต่อไป ก็คงทำอะไรให้ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว 
เพราะฉะนั้น เธอจะไป เธอจะอยู่ ลูกไม่ว้าเหว่หรือขาดผู้ชี้แนะ 

ถ้าเป็นอีกบางคน อาจจะยังมีลมหายใจอยู่จริง 
แต่เป็นการอยู่อย่างแห้งแล้ง ทวงบุญทวงคุณ... นี่ลูกรู้บ้างหรือเปล่า 
แม่เจ็บเหลือเกิน แต่ก็ต้องทนอยู่ เพื่อลูก.... อะไรต่อมิอะไร 
ทำนองนี้ ได้ยิน ได้ฟังแล้ว มีแต่ความขมขื่น ห่อเหี่ยว
 
แต่นี่ ทุกคนต่างมีชีวิตชีวา 
ได้คุณได้ประโยชน์ด้วยกันถ้วนทั่วหน้า 
ลูกๆ ทั้งที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว 
ก็ตระหนักว่า ใจเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง 
การภาวนาสำคัญและจำเป็นต่อชีวิต 
ช่วยให้ชีวิตได้หลักที่ดีงาม มั่นคง แข็งแรง 

เมื่อถึงวาระจะมีครอบครัว แน่นอน เด็กๆ เหล่านี้ 
ย่อมเลือกผู้ที่เห็นในคุณประโยชน์ของการภาวนา 
เป็นการวางรากฐานชีวิตด้วยปัญญาเห็นชอบ 
เกิดความหนักแน่น มั่นคง ตลอดปลอดภัย อยู่ในอริยมรรค 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องชาดก เป็นเรื่องจริงร่วมสมัย 
ที่เราทุกคนต่างก็สามารถนำมาปฏิบัติกับตัวเองได้ด้วยกันทุกคน 
มาจากคนที่มีชีวิตเลือดเนื้อเหมือนๆ เรา สามารถสัมผัสจับต้องได้
 
 
อ่านเรื่องคุณหมออมราแล้ว คิดถึงเรื่องราวที่ได้พูดกับศิษย์น้อง  
คุยกันถึงเรื่องเจ้าคุณเสือ และคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ 
บอกศิษย์น้องว่าพี่หมูกับพี่หน่อยท่านบวชแล้ว
หลวงพี่หน่อยบวชมาได้ ๑๗ พรรษาแล้ว จำวัดบนภูเขาที่ประจวบ 
หลวงพี่หมูบวชมาได้ ๗ พรรษา
ศิษย์น้องพูดว่า
พี่ไปมัวทำอะไรอยู่ค่ะ
เขาไปถึงไหนกันแล้ว


รูปมาจาก  อมรา
Posted by พี่ก๊วย , ผู้อ่าน : 1173 , 13:51:01 น.   
หมวด : ดารา/นักร้อง/คนดัง 

 พิมพ์หน้านี้ 
  โหวต 3 คน

 อ่านเรื่องคุณหมอจากพี่ก๊วย ที่เพิ่งไปปฏิบัติกับคุณหมออมรามาได้ที่นี้ 
 
คำสำคัญ (Tags): #พญ อมรา มลิลา
หมายเลขบันทึก: 485025เขียนเมื่อ 13 เมษายน 2012 01:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 17:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีปีใหม่ค่ะคนบ้านไกล

สุขสันต์ทุกวัน...สุขสันต์วันสงกรานต์...ขอบคุณเสมอมานะครับกับการได้อ่านบันทึกที่น่าอ่านจากพี่ครับ

  • กำลังจะไป Format จิต  ที่สวนพนาวัต จ.เชียงใหม่ ๑๕ - ๒๑ เมษายนนี้ค่ะ เติมแรงบันดาลใจและสร้างสติก่อนตั้งต้นสอนหนังสือ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ นี้

 

  • เมื่ออ่านบันทึกจบแล้ว ได้ย้อนคิดถึงตัวเองค่ะ  ว่าจะทำให้แม่ได้ประจักษ์รักของเราได้อย่างไร  ชีวิตข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเหลืออีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี  รอไม่ได้สักวินาทีเพื่อคนที่เรารักเราอย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ในโลกนะคะอาจารย์  ขอบคุณบันทึกนี้ค่ะ  ที่ทำให้เกิดสติขึ้นมาระดับ ๑๐ ทีเดียว

 

  • สวัสดีปีใหม่ค่ะ  ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรง มีจิตภาวนาอยู่เป็นนิตย์  สติและสัมปัชชัญญะบังเกิดขึ้นกับ คุณคนไกลบ้านค่ะ 

(@^______^@)

 

  •           สงสัยว่าจะเคยได้เกื้อหนุนกันมาในอดีตชาติ (ถ้ามีจริง) บันทึกนี้ของคุณน้องมีคุณค่ายิ่งสำหรับพี่ พี่จะแนะนำให้น้องชายเปิดให้น้องสะใภ้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการรักษาโรคมะเร็งอ่านด้วยกัน ทั้งอาการของโรคและความห่วงใยลูกและสามีของน้องสะใภ้คล้ายกับบุคคลในเรื่องประมาณ 98 % ค่ะ (คงจะส่งไฟล์ข้อมูลแนบ e-mail ไปให้เพื่อความสะดวกของน้องเขาค่ะ)
  • ขอบคุณ "คุณน้องคนบ้านไกล" จริงๆ ค่ะที่แบ่งปันปันทึกนี้ ภาพที่แนบมาถ่ายผ่านกระจกหน้ารถ ขากลับจากไปเยี่ยมน้องสะใภ้ที่บ้าน จ.ยโสธร วันที่ 24 มีนาคม 2555 ค่ะ (พ่อใหญ่สอขับรถค่ะ) 

อ่านแล้วประเทืองปัญญาได้มากมายครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท