คำตอบของคำถาม


หากวันนี้ ฉันจะลองใช้ศรัทธาเป็นแนวทางในการหาคำตอบ เพราะไม่มีข้อมูลใดจากการทดลองในห้องแลป คงไม่ว่ากันนะคะ...จนกว่าจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาช่วยยืนยัน

เธอเป็นหญิงแกร่ง ผู้หญิงที่เดินอยู่แถวหน้าในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในบริษัทที่มีชื่อเสียงดีมากที่สุดบริษัทหนึ่งในอเมริกา ทุกวันเธอใช้ชีวิตแบบทำจริง เล่นจริง (work hard, play hard) เธอทำงานได้แบบหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้งานสำเร็จลง แล้วเธอก็ฉลองความสำเร็จอย่างสุดเหวี่ยงกับเพื่อนร่วมงานที่เข้ากันดี กับการงานที่ก้าวหน้าและมั่นคง กับวิถีชีวิตในสังคมเมืองที่ออกจะบ้าระห่ำ เธอคิดว่านั่นคือชีวิตที่คุ้มค่าและเติมเต็ม

จนกระทั่งวันหนึ่งผลการตรวจสุขภาพประจำปีบอกว่าร่างกายเธอมีความผิดปกติบางอย่าง และแพทย์ประจำของบริษัทส่งตัวเธอเข้ารับการตรวจโดยละเอียด เธอรับฟังผลการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยความตกตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นคือความเป็นจริง เธอเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย และอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกประมาณ 3 - 6 เดือน

หลังจากที่เริ่มทำใจยอมรับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เธอตัดสินใจที่จะใช้เวลาที่เหลือทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปและไม่เคยทำมาก่อน เธอตั้งใจขับรถเดินทางไปทั่วรัฐแคลิฟอร์เนียตั้งใจทำเวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิตให้ผ่อนคลายและมีความสุขอย่างที่สุด

กับชีวิตของเธอที่กำลังจะสิ้นสุดลง เธอตั้งใจให้ชีวิตอื่นอยู่รอดปลอดภัยให้ได้มากที่สุด เธอบริจาคเงินช่วยเหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านพักคนชรา สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ในระหว่างทางหากพบเจอเรือประมงที่นำสัตว์ทะเลที่ยังมีชีวิตเข้าฝั่ง เธอจะไปขอซื้อและปล่อยพวกเขากลับลงสู่ทะเลอีกครั้ง เธอบริจาคเงินช่วยเหลือศูนย์บรรเทาทุกข์ของสัตว์เร่ร่อนต่างๆ บริจาคเงินค่ารักษาหมาแมวที่ป่วยให้มีชีวิตรอด บริจาคเงินอุปถัมภ์หมาแมวจรจัดที่กำลังจะถูกฆ่าลงเมื่อไม่มีคนมารับไปเลี้ยง เธอไถ่ชีวิตไก่ หมู แพะ แกะ โค ที่กำลังจะถูกนำไปฆ่าเพื่อเป็นอาหาร ในระยะเวลาสามเดือนเธอช่วยชีวิตของสัตว์ต่างๆ เกือบแสนชีวิตด้วยเงินเก็บที่เธอมีอยู่และด้วยแรงอธิษฐานที่ขอเพียงให้พวกเขาได้มีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้ ในช่วงนี้เธอเปลี่ยนเมนูอาหารมาเป็นมังสวิรัติเพื่อลดการเบียดเบียนชีวิตอื่น เธอรู้สึกสุขใจเหลือเกินในสิ่งที่ทำ

วันที่เธอไปตรวจสุขภาพ เธอก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อแพทย์บอกว่ามะเร็งในตัวเธอไม่ได้แพร่กระจายไปอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ และแนะนำให้เธอรักษาตัวตามวิธีที่ทำมา อีกสามเดือนจากนั้นเธอก็ทำในสิ่งที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง และแพทย์ก็บอกกับเธอว่ามะเร็งในต่อมน้ำเหลืองของเธอหายไปราวปาฏิหาริย์

เธอกลับไปทำงานใช้ชีวิตแบบเดิมที่เคยเป็นมาอีกครั้ง กลับมาทานเมนูอาหารปกติ และอีกสองปีให้หลัง โรคมะเร็งที่หายไปย้อนคืนมาอีก คราวนี้เธอรับฟังผลการตรวจอย่างสงบเพราะรู้จักวิธีการรักษาโรคนั้นด้วยตัวเธอเอง อีกหนึ่งปีจากนั้น แพทย์บอกว่าเธอหายขาดจากโรคร้าย แต่เธอไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก

ฉันได้ยินเรื่องเล่านี้ในงานสัมมนาด้านโรคมะเร็ง เมื่อประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว โดย Dr. Lai Chui Nan ที่ The Singapore Lapis Lazuli Light  เป็นครั้งแรกที่ฉันให้ความสนใจกับการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Healing) ในขณะที่กำลังทำงานวิจัยเพื่อค้นหาสารที่สามารถฆ่าเชื้อมะเร็งและในขณะเดียวกันทำลายเซลล์ร่างกายให้น้อยที่สุดอยู่ (Irony…)

Dr. Lai บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เธอได้รับการบอกเล่าจากหญิงคนนั้น และเรื่องนี้เป็นหนึ่งในแรงผลักดันให้เธอเปลี่ยนทางเดินจากการค้นหาตัวยาเพื่อรักษาโรคมะเร็งมาเดินในหนทางแห่งการป้องกันและรักษาโรคมะเร็งตามแนว Holistic Healing

มันเป็นไปได้อย่างไร? เป็นคำถามในใจฉัน…จากงานที่ทำ cell culture เชื้อมะเร็งอยู่ทุกวี่วัน เมื่อมีอาหาร อุณหภูมิพอเหมาะ คาร์บอนไดออกไซด์นิดๆ ไม่มีเชื้ออื่นใดมาปะปน ไม่มีสารใดมาฆ่า ก็เห็นมันโตเอาๆ ไม่ตายไปเฉยๆ สักที...

ด้วยความที่มีพื้นฐานการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาก่อน เรื่องบางเรื่องหากทำความเข้าใจแล้ว มันก็มักจะผ่านไป สิ่งที่ยังคงวนเวียนอยู่คือสิ่งที่ยังหาคำอธิบายไม่ได้ เรื่องนี้จึงยังติดอยู่ในหัวอยู่จวบจนวันนี้…

วันหนึ่งไม่นานมานี้ ฉันได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของท่านอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก “โชคดีที่ได้รู้”  ขออนุญาตยกมาทั้งดุ้นเลยนะคะ

.

วิบากกรรมเปรียบเสมือนลูกปืนที่บินมาจากอดีต มาโดนตัวเราทำให้เเราบาดเจ็บ ทีนี้ถ้าเราปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ก็ช่วยให้วิบากกรรมนั้นอ่อนกำลังลง เรียกว่าผ่อนหนักเป็นเบา หรือเป็นอโหสิกรรมไปได้ สมมติว่าเรารักษาศีลบริสุทธิ์ เราก็จะลอยตัวขึ้น ๕๐ เซนติเมตร วิบากกรรมที่บินมาต่ำๆ ก็จะไม่โดนเรา เปรียบเหมือนเป็นอโหสิกรรม ชีวิตเราก็ดีขึ้น ทีนี้ถ้าเราเจริญเมตตา ภาวนา จนโลภ โกรธ หลง ลดน้อยลง จิตมีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์มากขึ้น ก็ลอยตัวเพิ่มขึ้นอีก ๕๐ เซนติเมตร หมายความว่าวิบากกรรมที่อยู่ในช่วง ๑๐๐ เซนติเมตรก็ไม่โดนเรา และที่สุดหากเราเจริญวิปัสสนา ละโลภ โกรธ หลง ชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ จนไม่มีอุปาทานยึดมั่นในขันธ์ ๕ ก็ไม่มีตัวตน ไม่มีทุกข์ จิตก็เป็นโลกุตตระอยู่เหนือกฎแห่งกรรม จิตก็พ้นทุกข์สิ้นเชิง แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัฏสงสาร ก็ต้องรับวิบากกรรมทางกายบ้างเป็นธรรมดา เหมือนเช่นองคุลีมาน

และหากวิบากกรรมหรือกรรมชั่วเปรียบเหมือนเกลือ กรรมดีเปรียบเหมือนน้ำในภาชนะ เมื่อทำกรรมชั่วแล้วทำกรรมดีให้มากๆ ความดีเปรียบเหมือนน้ำที่เพิ่มขึ้นๆ เกลือที่มีอยู่เท่าเดิมก็ย่อมเจือจางไป หรือ เมื่อทำกรรมดีมากๆ ผลแห่งความดีจะออกผลก่อน กรรมชั่วที่ยังไม่ได้ออกผลก็อาจจะหมดกำลังไปก่อน เหมือนกับว่าได้รับอโหสิกรรมไป

 .

คุณคิดว่าคำอธิบายของท่านอาจารย์เป็นคำตอบของคำถามที่ค้างคาของฉันได้ไหมคะ?

หากวันนี้ ฉันจะลองใช้ศรัทธาเป็นแนวทางในการหาคำตอบ เพราะไม่มีข้อมูลใดจากการทดลองในห้องแลป คงไม่ว่ากันนะคะ...จนกว่าจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาช่วยยืนยัน..

.

.

.

.

ภาพเจ้าปลาดุกที่กำลังหยุดพักผ่อนและแหวกว่ายอย่างลิงโลด หลังจากที่ถูกปล่อยออกจากถุงพลาสติกอันแออัด ไปสู่หนองน้ำใหญ่ที่ Upper Seletar Reservior

ทุกครั้งที่ไปปล่อยปลา ฉันจะคิดถึงเรื่องที่ยังหาคำตอบไม่ได้นั้นเสมอ

แทบทุกครั้งที่มีโอกาสได้ไปร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตไทยที่ Golden Mile Complex  ฉันมักไปยืนยิ้มให้กับหนุ่มๆ พ่อค้าปลาดุก เพราะเป็นที่รู้กันว่าแทนที่จะทุบหัวแล้วชำแหละ ขอเปลี่ยนเป็นใส่ถุงสองชั้น ใส่น้ำให้ด้วย ฉันทำมาตั้งแต่ปลาดุกเป็นๆ กิโลละ ๓.๘ เหรียญจนตอนนี้ราคาล่าสุด กิโลละ ๖.๘ เหรียญ จนทำให้รู้สึกว่า ราคาชีวิตนั้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ค่าของชีวิตนับวันจะลดลงเรื่อยๆ ด้วยจำนวนชีวิตที่มากมายเหลือเกิน ที่ต้องจบลงเพื่อตอบสนองความอยากในแต่ละวัน

...

Karunesh - Journey of the heart

 

.

ด้วยความนอบน้อม,

ปริม ทัดบุปผา 

๒๑ มีนาคม ๒๕๕๕

หมายเลขบันทึก: 482721เขียนเมื่อ 21 มีนาคม 2012 14:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2012 20:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

สวัสดีค่ะ คุณปริม :)

(รบกวนกรุณาลบ comment ก่อนหน้านี้นะคะ เพราะพิมพ์ตกไปหนึ่งคำค่ะ)

 

เรื่องเช่นนี้ meepole เคยได้รับรู้มาจากบางคนที่ได้ประสบการณ์ตรงและยังมีชีวิตอยู่ และที่ยังแข็งแรง ความจำเป็นเลิศไม่หลงเลยเป็นอาจารย์ของ meepole  เองค่ะท่านอายุ 96 ปีแล้ว แบบผ้าขี้ริ้วห่อทอง ดำรงชีวิตแบบไม่มีตัวตน คนนอกจะเห็นเป็นยายแก่ๆ ที่ตักบาตรตอนเช้า ที่หน้าบ้านมาตั้งแต่เด็ก ปฎิบัติธรรมเสมอมา ท่านใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบและสมถะ ท่านเล่าเรื่องมากมายให้ฟัง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกศิษย์ท่านมากมายรับรู้ แล้วไม่ประมาทในการดำรงชีวิต และใช้โอกาสที่ดีของการได้เกิดเป็นมนุษย์ในการ “ต่อบุญ “ ทำในสิ่งที่ดี และถูกต้อง ทำสะสมเรื่อยๆ ค่อยๆทำไป เพราะชีวิตเราไม่ไช่เครื่องจักร ต้องกตัญญูต่อร่างกาย พักกาย พักใจบ้าง

.”..จนไม่มีอุปาทานยึดมั่นในขันธ์ ๕ ก็ไม่มีตัวตน ไม่มีทุกข์....”

ชีวิตที่อยู่เย็น ทำได้ไม่ยาก ขอให้ทำตัวให้ไม่มีตัวตนจริงๆ ไม่วุ่นวายกับอะไร และพยายามไม่ให้อะไรเข้ามาวุ่นวายด้วย หากเห็นว่าที่ใดเริ่มวุ่นวาย มีคนพาล ก็เอาตัวเองออกไปเสียจากตรงนั้น เพราะที่สงบสำหรับชีวิตเรามีแน่นอน ทำตัวติดดิน ธรรมดา ไม่สร้างภาพ ไม่หลอกตัวเอง  หากลองทำ และทำได้จะมีชิวิตที่อิสระ เบาสบายจริงๆค่ะ เมื่อชีวิตเราอยู่เย็น ไม่วุ่นวายได้ จะเกิด สุขที่สงบ เมื่อชีวิตลดความโลภ โกรธ หลง ลงได้จริง ระบบฮอร์โมน ระบบการเผาผลาญในร่างการก็จะเป็นโดยปกติเพราะไม่เครียด การเกิดอนุมูลอิสระก็จะไม่มากเกินเหตุ ทำได้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้นทั้งกายและใจ เมื่อใจสุข กายก็สบายค่ะ

ขออนุญาตนำบางส่วน (เรื่องการไม่มีตัวตน) ไปขยายความในบล็อกของ meepole นะคะ ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องดีๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดการทำในสิ่งดีๆ

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ ดร. จันทวรรณ ปิยะวัฒน์,

ขอบพระคุณที่มาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจและให้แนวคิดในเรื่อง Holistic living ค่ะ

สุขสันต์ค่ำวันพุธค่ะ

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ mee_pole,

ดีใจจังค่ะได้พบกับคุณ mee_pole อีกค่ะ ไม่ได้คุยกันนาน อาจารย์สบายดีนะคะ

ขอบคุณค่ะที่มาทักทายและฝากข้อคิดดีดีและคำอธิบายคำตอบของคำถามที่ค้างคาในใจมานาน พร้อมตัวอย่าางชีวิตจริง ขอให้ท่านอายุยืน อยู่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์ไปนานเท่านานนะคะ

ด้วยความยินดีในการต่อยอดค่ะค่ะหากคุณ mee_pole เห็นว่ามีประโยชน์ ความจริงปริมก็ยกมาจากหนังสือที่อ่านทั้งหมดเลยเช่นกัน

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะคุณปริม...บันทึกชวนคิดหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกดีนะคะ(อ่านแล้วคิดถึงบันทึกคุณหมอ ป.ค่ะ)

...เรื่องราวเกี่ยวกับมะเร็งเมื่อเร็วๆนี้ได้อ่านเรื่องราวของอาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ(อ่านได้ที่ www.matichorn.co.th "นิตยสารเส้นทางเศรษฐี"ค่ะ) เป็นแนวทางชีวิตที่แม้คนไม่ป่วยหากดำเนินวิถีชีวิตแบบนี้เชื่อว่าทุกคนคงค้นพบสิ่งที่ตามหาได้ง่ายขึ้น นั่นคือ "ความสุข"

..."ไม่มีข้อมูลใดจากการทดลองในห้องแลป จนกว่าจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาช่วยยืนยัน"

ประโยคดังกล่าวนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงสิ่งที่ได้พบเห็นกับตัวเอง (น้ำเหลือง)ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แปรสภาพเป็นเม็ดเล็กๆละเอียดยิ่งกว่าเม็ดทรายสีทองเปล่งแสงยิ่งกว่าทองคำ(จัดแสดงที่วัดป่าบ้านตาด)

และอึ(ขี้)ของหลวงปู่ขาว อนาลโย (วัดถ้ำกองเพล จ.หนองบัวลำภู) ที่แปรสภาพเป็นพระธาตุวาววับ แบบครึ่งต่อครึ่ง(บางส่วนที่ยังไม่แปรสภาพยังเห็นเป็นก้อนอึอยู่) จากสิ่งที่น่ารังเกียจกลับกลายเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ได้กราบไหว้บูชา ก็ไม่ทราบเช่นกันค่ะว่า จะหาหลักฐานจากอะไร นอกจากหัวใจที่เชื่อและศรัทธาปฎิบัติตามแก่นธรรม...

...ข้าพเจ้าเคยอ่านพบในหนังสือธรรมะพระอรหันต์องค์หนึ่ง ท่านบอกว่าสิ่งเหล่านี้เรียกว่า"วิทยาศาสตร์ทางใจ" ค่ะ ไม่มีผลการทดลองในห้องแลป(ไม่มีตัวตนใช้อวัยวะภายนอก(มือ)จับต้องไม่ได้ นอกจากใช้หัวใจ)...

...ขอบคุณบันทึกชวนคิดพิจารณาก่อนนอนค่ะ...

* ขอบคุณที่ช่วยกันเผยแพร่ค่ะ

* จิตเป็นนาย..กายเป็นบ่าว

* จิตเป็นกุศล ย่อมระงับความทุกข์ของวิบากกรรมทางกาย

* อานิสงค์แห่งการบำเพ็ญทานและศีล ย่อมหนุนนำให้ผู้ปฎิบัติ รอดปลอดพ้นจากอุบัติภัยทั้งปวงนะคะ

เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ และปาฏิหาริย์ของพุทธศาสนา นะคะ

เพราะหลายๆ โรค บางครั้งก็หาสาเหตุ ที่มาที่ไป ไม่เจอ จริงๆ

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แท้ ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะคุณน้อย,

ขอบคุณค่ะสำหรับข้อคิดดีดีที่ฝากไว้นะคะ บอกตรงๆว่าปริมกำลังเริ่มเรียนรู้ในด้านนี้ค่ะ แม้จะเกิดมาในครอบครัวชาวพุทธร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังนอกจากพิธีกรรมที่เกี่ยวกับประเพณีต่างๆ ที่เคยทำในสมัยเด็ก ละไปนานตั้งแต่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ เผลอแผลบเดียวครึ่งชีวิตหมดไปแล้วค่ะคุณน้อย กำลังเริ่มเรียนรู้อีกทีค่ะ หวังอย่างเหลือเกินว่ามันจะไม่สายจนเกินไป และบนถนนการเรียนรู้สายนี้แน่นอนว่าต้องมีศรัทธาด้วยหัวใจเป็นตัวนำ....

ปริมซื้อหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องพระบรมสารีริกธาตุมาค่ะ แต่ยังวางอยู่บนชั้นหนังสืออยู่เลย ถ้าอ่านแล้วจะนำมาแบ่งปันนะคะ

ขอบคุณสำหรับการแนะนำศัพท์ใหม่ที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกกับคำว่า วิทยาศาสตร์ทางใจค่ะ

มีความสุขในวันเสาร์นะคะ

สวัสดีค่ะคุณพี่ใหญ่ค่ะ

ขอบพระคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้เสมอมาค่ะ

ขอบคุณสำหรับคำตอบของคำถามนี้นะคะ

มีความสุขในบ่ายวันเสาร์นะคะ ;)

คุณปูคะ,

ประโยคที่คุณปูพูด....

"เพราะหลายๆ โรค บางครั้งก็หาสาเหตุ ที่มาที่ไป ไม่เจอ จริงๆ"

ทำให้ปริมนึกถึงหนังสือที่ซื้อมาวางไว้บนชั้น เรื่อง Many lives Many Masters by Dr. Brian Weiss ค่ะ ที่เล่าถึงโรคภัยที่สืบเนื่องมาจากการกระทำของชาติภพที่แล้วค่ะ น่าสนใจมากแต่ยังอ่านไม่จบเลย ;)

ต้องหาเวลาอ่านจะได้นำมาเล่าสู่กันฟัง

สุขสันต์วันเสาร์นะคะ

ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้กำลังใจในการหาคำตอบของคำถามนี้นะคะ

มีความสุขในทุกโมงยามของวันค่ะ ;)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท