ความโกรธอีกครั้ง
เมื่อครั้งที่อยู่กันอย่างปกติสุข
เราก็มักพูดจากันด้วยความรัก
ภาษาความรักจึงมักเป็นภาษาดอกไม้
ที่ดูแล้วเบิกบานตา ฟังแล้วเบิกบานใจ
แต่เมื่อความรักกลายเป็นความเกลียดชัง
ความเกลียดชังก็กลายเป็นความโกรธ
ความโกรธที่เห็นอะไร ฟังอะไร ก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด
มันเหมือนมีม่านบังตา ผนังกั้นใจ
สิ่งที่เคยเห็นว่างดงาม ไพเราะ
กลายเป็นสิ่งที่ช่างน่าเบื่อ น่ารำคาญ
แล้วเราก็ขุดเอาเหตุผลเหตุการณ์ในอดีตอีกสารพัดมาปรุงแต่ง
เสริมให้เหตุผลตนเองนั้นมีน้ำหนักยิ่งขึ้น
ยิ่งเพิ่มอัตตาความเป็นตัวตนมากขึ้น
ใครจะพูดอย่างไร ไม่สำคัญ เพราะว่าฉันถูกเสมอ คนอื่นผิด
นี่คือเหตุแห่งความโกรธที่นำไปสู่ความเกลียดและชิงชัง
ด้วยความโกรธ เกลียด และชิงชัง
ก็ทำให้เราขุดเอาภาษาพ่อขุน งัดเอากิริยาอาการแบบที่คนไม่ทำกันออกมา
ไม่รู้เหมือนกันว่าไปขุดเอาเมมมอรี่นี้มาจากไหน
มันเหมือนกับจะระบายความอัดอั้นออกไป
แต่ความโกรธมันก็เหมือนบูมเมอแรง
ยิ่งพูดยิ่งแสดงกิริยารุนแรงออกไปเพียงใด
มันก็ยิ่งสะท้อนกลับมารุนแรงยิ่งกว่าเดิม
เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งจะนิ่งและมีสติพอ
ที่จะใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว
แต่รู้ไหม
ทุกครั้งที่แสดงความโกรธ
ลึกลึกแล้วตัวเองก็เจ็บปวด
คู่กรณีก็เจ็บปวด
ไม่มีใครเจ็บปวดน้อยกว่ากัน
ยิ่งเมื่อพายุอารมณ์สงบลง
เหตุการณ์ผ่านพ้นไป
ได้มีโอกาสมานั่งทบทวนตัวเอง
เราก็จะรู้สึกเสียใจ
ว่าเราทำอะไรลงไป
ผีห่าซาตานที่ไหนมาสิง
ไม่ใช่ผีห่าซาตานที่ไหนหรอก
ตัวเราเองที่ยังฝึกฝนน้อยไป
ยังไม่รู้เท่าทันความโกรธ
ปล่อยให้ความโกรธมันครอบงำตนเอง
จะโทษใครได้ หากไม่ใช่ใจเราเอง
ที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะเอาชนะความโกรธนั้น
คงต้องฝึก ฝึก ฝึก อีกให้มาก
เพราะสติปัญญานี่แหละที่ทำให้เราอยู่เย็นเป็นสุข
พ่อน้องซอมพอ
ใช่จ้า
คงต้องฝึก ฝึก ฝึก อีกให้มาก เพราะสติปัญญานี่แหละที่ทำให้เราอยู่เย็นเป็นสุข
ฝากรูปคุณหมอเมืองปัวมาหื้อผ่อเจ้า คนเมืองปัวเปิ้นเก่งกันแต้ๆๆๆ(พี่เลี้ยง สสจ .น่านตวยค่ะ )
ขอบคุณค่ะ ต้องพยายามให้มากค่ะ เมื่อก่อนตอนยังเด็กโกรธง่าย หายเร็ว พอเริ่มแก่ โกรธไม่บ่อยแต่จำนาน คงต้องระมัดระวังกับใจให้มากค่ะ
เจริญพร จำคำพูดของท่านเจ้า(ผยอม) วัดสวนแก้ว ว่า โกรธเขาเกลียดเขา เหมือนจุดไฟเผาตัวเราเอง เห็นตัวในคำว่า นิ่งและสติพอ และความสงบสยบความเคลื่อนไหว ชอบมากคำนี้ สาธุเจริญพร
เวลาโกรธกัน..พยายามอย่าพูดค่ะ
ถ้าพูดแล้วจะแรง....