เร็ว ๆ นี้ เงินเดือนของผู้ที่รับราชการครูจะปรับเพิ่มเป็น 15,000 บาท ข้าราชการผู้น้อยอย่างฉันดีใจอยู่หน่อย ๆ แต่เมื่อมองย้อนหลังไปตอนน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งทั้งกรุงและไม่กรุงดูโหลงเหลง ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ของบางอย่างลดราคาลงมาบ้างหลังน้ำท่วม แต่บางอย่างมันขึ้นแล้วขึ้นเลย แน่นอนว่ารายได้ที่น้อยกับราคาของที่เพิ่มขึ้น เป็นใคร ๆ ก็คงอยู่ในสภาวะฝืดเคือง ต้องเลือกและคิดให้รอบคอบเป็นอย่างมากว่าสิ่งใดจำเป็นมากที่สุดสำหรับชีวิต
แน่นอนว่าเงินเดือนข้าราชการเมื่อเริ่มต้นรับราชการคงไม่มากเท่ากับการทำงานในองค์กรเอกชนหรือการเป็นเจ้าของธุรกิจ เพราะวิชาชีพครูไม่ใช่วิชาชีพที่หวังร่ำรวย กอบโกยเงินทอง แต่มันน่าคิดว่าเงินเดือนข้าราชการอื่น ๆ เมื่อเริ่มต้นรับราชการมันค่อนข้างขัดสนไม่น้อย แม่จ๋าของฉันเล่าให้ฟังว่าตอนที่แม่รับราชการเงินเดือนแม่เพียง 800 บาท ราคาทองในสมัยนั้น 400 บาท ฉันฟังแล้วมองตาแม่ปริบ ๆ แต่แม่ก็เลี้ยงดูให้การศึกษาฉันมาอย่างดีได้ และคำสอนของแม่ที่บอกว่า แม่เองก็เคยเป็นข้าราชการผู้น้อย เคยลำบากมาก่อน แม่ยังผ่านมันมาได้ ชีวิตของเราเพิ่งเริ่มต้น เพราะฉะนั้นเราต้องอดทน การทำงานเป็นครูไม่ใช่พ่อค้านะลูก ที่เราจะกอบโกยเงินทอง หวังร่ำรวยเหมือนคนอื่น ๆ การเป็นครูที่ดีเป็นยาก แต่เมื่อได้เป็นแล้วจงคำนึงเสมอว่า เราทำงานเพื่อลูกศิษย์ เราทำงานเพื่อในหลวง และเราทำงานให้กับสังคม เพราะฉะนั้นหากลูกหวังจะกอบโกยเงินทองอย่างคนอื่น ๆ อยากมีรถขับหรู ๆ โดยไปกู้หนี้ยืมสิน สหกรณ์บ้าง ชพค.บ้าง เขามีสวัสดิการต่าง ๆ ที่ให้ครูกู้ และลูกก็กู้ตามไปหมด แม่ว่านั่นก็ไม่ใช่หนทางที่จะเป็นครูที่ดีเช่นกัน แม่คงไม่ภูมิใจ ( คำสอนของแม่ครั้งนี้มันเจ็บยิ่งกว่าโดนไม้เรียวที่แม่ตีฉันตอนเด็ก ๆ ซะอีก )
อุดมคติของแม่ถ่ายทอดผ่านมาให้ฉันได้ตระหนัก และพยายามที่จะเป็นครูที่ดี ไม่มีหนี้ ไม่มีสิน เหมือนเพื่อนครูรุ่นใหม่ ๆ ที่กู้อะไรได้ก็กู้ ฉันได้แต่วางแผนระยะยาวเอาไว้ว่าวันหนึ่งจะมีเงินออมตอนชีวิตเกษียณราชการตามที่ตั้งเอาไว้ ด้วยการทำประกันชีวิต ออมทรัพย์ด้วยวิธีอื่น ๆ ที่พอทำได้โดยไม่เดือดร้อนตัวเอง จากเงินเดือนที่ได้รับสุทธิ 9,000 กว่าบาท ฉันกันเงินไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นกองทุนให้กับลูกศิษย์ เดือนละ 200 บาท ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเกษียณราชการแล้วจะนำเงินที่ฝากไว้เป็นกองทุนตอบแทนลูกศิษย์และโรงเรียนวัดกิ่งแก้วที่ทำให้ฉันได้ทำงานที่มีคุณค่าและมีที่ทำงานที่น่าอยู่ เพื่อทดแทนพระคุณของแผ่นดิน
ในความคิดแบบเบื๊อก ๆ ของฉัน ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า เงินเดือนข้าราชการในอดีตมันไม่เหมาะสมต่อการครองชีพให้อยู่รอดได้เลย แต่ก็แปลกที่ข้าราชการหลายท่าน อยู่รอดกันได้ และทำให้นึกย้อนถึงพ่อจ๋าและแม่จ๋าที่ต้องปากกัดตีนถีบเลี้ยงลูกและใช้ชีวิตอยู่อย่างจำกัดมาได้ตลอดรอดฝั่ง ฉันไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของแม่เลยกับคำว่า " แม่มีเงินไม่พอ ขอผ่อนจ่ายค่าเทอมเขาก่อนนะลูก ฉันจำได้ตอนเด็ก ๆ " จนเมื่อฉันรับราชการ ฉันถึงเข้าใจและรู้สึกถึงความยากลำบากมากแค่ไหน แล้วทำไมวิชาชีพครูต้องลำบากยากแค้นขนาดนี้เชียวหรือ ? ลองนึกเล่น ๆ กันดูนะคะ ว่าข้าราชการไทยเริ่มต้นรับราชการด้วยเงินเดือนที่ไม่เหมาะสมไม่เป็นจริงต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมมานานกว่าร้อยปีแสงแล้ว เป็นปัญหาลูกโซ่ที่ทำให้ครูเป็นหนี้เป็นสินตามมาโดยจำเป็นและไม่จำเป็นหรือเปล่า ? การเริ่มต้นรับราชการเป็นวัยของคนที่เริ่มต้นทำงานยังหนุ่มยังสาว ยังมีเรี่ยวมีแรง เป็นวัยที่เริ่มต้นในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ สร้างครอบครัว รับผิดชอบเลี้ยงดูพ่อแม่ ต่อครอบครัว แต่รายได้ที่สนับสนุนผู้เริ่มต้นรับราชการเพียง 9,000 กว่าบาท มันน่าคิดว่ามันควรจะปรับมาตั้งนานแล้วหรือเปล่า ?
การเปรียบเทียบเงินเดือนของครูที่มีอายุราชการนาน พอตอนเกษียณราชการเงินเดือนกับเพิ่มสูงเป็นสามสิบสี่สิบเท่า แต่เมื่อเกษียณไปแล้ว เงินที่ได้รับในอัตรานั้นตัวเองกลับไม่ได้ใช้ ส่วนใหญ่นั่งเลี้ยงหลาน เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวรดน้ำต้นไม้ ปลูกผักปลูกหญ้าอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ของตัวเองที่ต้องเลี้ยงดูก็ตายบ้างอยู่บ้าง จะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยการไปเที่ยวต่างประเทศบ้างอะไรบ้าง ลูกก็ไม่อนุญาตให้ไป เพราะใช้เวลาหลายวันไม่มีใครเลี้ยงหลาน ไม่มีใครเฝ้าบ้าน หากได้ไปต่างประเทศก็ไม่มีเรี่ยวแรงเดินชมกำแพงเมืองจีน หรือได้ชิล ๆ กับบรรยากาศอินเลิฟแบบหนุ่มสาว ให้ไปได้แค่งานกฐิน ผ้าป่า วัด เซเว่น-อีเลเว่น คาร์ฟูร์ โลตัส บิ๊กซี เพื่อซื้อของใช้เลี้ยงลูก ๆ หลาน ๆ ใกล้ ๆ บ้าน เงินเดือนที่ได้มาหากแบ่งให้ลูกคนใดคนหนึ่งมันก็ว่าลำเอียง มีลูกคนเดียวก็สบายใจหน่อย ยกให้มันคนเดียวไปเลย หากมีลูกหลายคน ก็ต้องแบ่งเท่า ๆ กัน ตัวเองจะเหลือเงินได้ใช้สักกี่บาท และเมื่อแบ่งเงินให้ลูก ๆ หลาน หมดแล้ว มันจะเลี้ยงเราไหม ? บางคนก็มีลูกหลานดีหน่อย ช่วยกันดูแล แต่บางคนน่าใจหาย ลูกเลี้ยงเหมือนลูกฟุตบอล โหยยยย.....กรรม ฉันว่าคงมีประเทศไทยชาติเดียวในโลกนี่แหละที่คิดอัตราเงินเดือนข้าราชการแบบนี้ หรือใครทราบข้อมูลว่ามีเหมือนของพี่ไทยกรุณาช่วยให้ข้อมูลหน่อยนะคะ
สำหรับฉันเงินเดือนที่รัฐบาลปรับให้ข้าราชการผู้น้อยในอัตราใหม่นั้น คงดีใจอยู่ได้ระดับ 2 หรือ 3 เท่านั้น มันจะยั่งยืนตลอดไปหรือเปล่า ก็ต้องแล้วแต่วิสัยทัศน์ของคนที่กำหนดนโยบายรัฐ ซึ่งเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยั่งยืนกว่าอัตราเงินเดือนใหม่คือการปลูกฝังเรื่องสิทธิและหน้าที่พลเมือง ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความซื่อสัตย์สุจริต หากคิดเพียงว่านักการเมืองไม่มีใครไม่โกงหรอก มันก็โกงด้วยกันทั้งนั้น แต่คนนี้มันดีหน่อยถึงจะโกงบ้างแต่ก็ยังสร้างถนนให้ ขุดท่อ ลอกท่อ ถ้าคิดแบบนี้ ไม่ใช่ใครครับที่เจ๋ง อย่าว่าแต่สังคมเลย ชาติก็เจ๋งครับ เพราะเราสนับสนุนให้คนเหล่านี้โกงกินบ้านเมือง แทนที่จะเราจะคิดว่าอิที่เขาโกงน่ะ นั่นคือภาษีของเรา แกมีหน้าที่ต้องทำถนน ขุดท่อ ลอกท่อ ฯลฯ แกต้องทำหน้าที่ของแกต่อไป
คำว่าวิชาชีพมันต่างจากอาชีพนะฉันว่า ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำอาชีพ ประกอบอาชีพได้ มันต่างตรงที่วิชาชีพนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบวิชาชีพต้องตระหนักและมีความรับผิดชอบสูงสุดต่อมนุษย์ เงินเดือนจะขึ้นหรือไม่ขึ้นหรือเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เงินถูกปรับลดแบบเดิม สำหรับฉันมันก็แค่นั้น มันคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์ตาดำ ๆ ตามอัตราเงินเดือนที่ปรับใหม่แม้จะมีอัตรามากหรือลดลง เพราะสิ่งหนึ่งที่คนเป็นลูกอย่างฉันได้ทำให้พ่อและแม่คือการสร้างความภาคภูมิใจให้กับท่านทั้งสอง [ แม้ว่าความภูมิใจมันจะกินไม่ได้ แต่มันเท่ ] 55555555555 มันมีศักดิ์ศรี มองย้อนหลังไปอดีตเป็นอดีตที่ดีแล้ว ปัจจุบันต้องทำให้ดีที่สุด อนาคตก็คงจะดีด้วย เบื้องหลังความสำเร็จที่ได้มองเห็นอดีตของตน...... เฮ้ย ! ภูมิใจว่ะ
(@^______^@)
ชื่นชมคุณครูมากครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
(n_____n)
ที่มาให้ดอกไม้เป็นกำลังใจ
(n_____n)
พี่สาวเป็นครู เกษียณตอน ๕๕ เหมือนเรื่องเล่า ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ เงินไม่พอใช้
ต้องเอาลูกคนโตไปฝากย่าเลี้ยง เสียใจจนถึงทุกวันนี้
พอตอนเกษียณราชการเงินเดือนกับเพิ่มสูงเป็นสามสิบสี่สิบเท่า
ไม่ได้ถามคำถามนี้ แต่พี่สาวบอกว่ารัฐบาลให้เดือนละหมื่นห้า จ่ายค่ารักษาสุขภาพให้
มีความสุขตามอัตภาพครับ
มาเที่ยวที่อเมริกาสามเดือน เข็ดเลย
บอกอยู่เมืองไทยสบายกว่า ดีกว่า เป็นสุขกว่า
เงินเดือนมากเท่าไรคงไม่พอถ้ายังเปรียบกับรัฐมนตรี