นั่งให้สบาย หายใจเข้าสบาย ออกสบาย ปล่อยวางใจว่าง ๆ ให้เราฝึกหายใจเข้าสบาย หายใจออกให้สบาย ให้มีความสุขกับการหายใจเข้าหายใจออก ในชีวิตประจำวันที่เราทำการทำงาน
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีความสุขกับการทำงาน มีความสุขกับการประกอบกิจการ เวลาเราทำงานให้ใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับการทำงาน ตั้งใจทำให้เต็มที่พร้อมด้วยกันกับการหายใจสบาย
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเป็นคนรู้จักพอ พอใจในการทำดี พอใจในการเสียสละ ทุกคนต้องฝึกสมาธิ เช่นเราทำการทำงาน ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัวอย่างนี้ท่านเรียกว่าเรากำลังเจริญสมาธิ
คนที่มีสมาธิเป็นคนที่มีความสุข เป็นคนที่มีจิตใจเปรียบเหมือนแอร์คอนดิชั่นติดใจหัวใจ
สมาธิของเรามันจะได้จากไหน...?
สมาธิก็ได้จากการฝึกตัวเอง เช่นฝึกหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย เวลาเราทำการงานทุกอย่าง ให้ใจของเราอยู่กับการทำงาน ให้เรามีความสุข มีความดับทุกข์...
เราอย่าไปเผาตัวเอง ส่วนใหญ่เราเผาตัวเองทางใจ เรานั่งสมาธิก็ให้ใจอยู่กับตัวเอง เราทานข้าวใจของเราก็อยู่กับการทานข้าว เราดินก็ให้ใจอยู่กับการเดิน การพูดให้มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว ทำจิตใจของเราให้มีความสงบ ให้มีความสุข
เรื่องพูด เราอย่าไปทะเลาะกับใคร ฝึกพูดดี ๆ พูดเพราะ ๆ เราเองก็มีความสุข คนเรามีปัญญา ส่วนใหญ่คนมีความรู้มากก็มีเหตุผลมาก เราต้องมีเทคนิคการพูด
เราเป็นญาติเป็นโยม เราต้องออกกำลังกายให้ร่างกายของเรามันแข็งแรง ฝึกหายใจออกหายใจเข้าสบาย เดิน โยคะ จ๊อกกิ้งอะไรต่าง ๆ แกว่งแขน
เวลานอนให้เราตั้งใจนอน เพราะเวลานอนไม่ใช่เวลาคิดเรื่องธุรกิจการงาน เอาไว้ก่อน พักไว้ก่อน คนเรานอนไม่พอ พักผ่อนไม่พอ เพราะมันฟุ้งซ่าน ควบคุมตัวเองไม่อยู่ เวลาเรานอน ถ้าเราตั้งจิตไว้ที่ลมหายใจตรงปลายจมูกมันไม่สงบ ก็ให้เราตั้งไว้ที่ท้องหรือลิ้นปี่ มารู้ที่ท้อง ท้องยุบรู้ ท้องพองรู้ ให้มีความสบายที่ท้อง เดี๋ยวก็หลับไปเอง
เวลาเราตื่นขึ้น ตี๑ ตี ๒ มันไม่ใช่เวลาตื่น ถ้าเราต้องการเข้าห้องน้ำปัสสาวะ ห้ามไม่ให้คิดเรื่องอะไร เรื่องการงาน เรื่องลูก เรื่องหนี้สิน เรื่องพี่น้อง เรื่องอนาคต ถ้าเราคิดแล้ว มันจะทำให้นอนไม่หลับ ถ้านอนไม่หลับแล้ว ตอนกลางวันมันจะไม่ค่อยมีความสุขสดชื่น ร่างกายของเรามันจะร่วงโรย การทำการงานของเราก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพ ไม่ได้ศักยภาพ ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองตื่นขึ้นมาตอนดึก ๆ มาคิดเรื่องต่าง ๆ อีกไม่นานเราต้องเป็นโรคประสาทแน่ ๆ เป็นโรคอาหารไม่ย่อย กินข้าวไม่อร่อย ร่างกายเสื่อมโทรม เสียทั้งกำลังกาย เสียทั้งกำลังจิต
พระพุทธเจ้าท่านเรา ถึงเวลาปล่อยวางก็ให้ปล่อยวาง ถึงเวลาทำก็ทำ ถึงเวลาหยุดก็หยุด เป็นคนมีระเบียบมีวินัย ตื่นขึ้นก็กราบพระ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำใจให้สบาย แผ่เมตตา ตั้งใจทำการงานให้มีความสุข
สิ่งไหนไม่ดีเราอย่าไปคิด มันเป็นไปไม่ได้ก็อย่าไปคิด เบรกตัวเองไว้ หยุดตัวเองไว้
“ฐานที่สำคัญของเราก็คือความคิดนี้แหละ...”
ฝึกพัฒนาความคิด อย่าเป็นคนวุ่นวายกับความคิดมาก เพราะคนยังไม่ตายก็ต้องคิดโน่นคิดนี่ ยิ่งเราเป็นคนฉลาดมาก ปัญญามากก็ยิ่งคิดเยอะ ให้เรารู้จักความคิด อย่าไปวุ่นวายกับความคิด รู้มาก ฉลาดมาก เป็นคนเก่ง เราต้องเอาสมาธิเข้ามาช่วยให้อยู่กับการหายใจเข้าสบายบ้าง ออกสบายบ้าง
เพราะคนเรามันฉลาด มันคิดไม่หยุด... ให้เรามีความสงบกับความคิดสลับกันไป เพื่อให้สมาธิกับปัญญากลมกลืนเป็นธรรมชาติ เพื่อจิตใจของเราจะได้เกิดความสงบ ความร่มเย็น
เราทำงานนี้คือการปฏิบัติธรรม แยกกันไม่ได้ เราอยู่บ้านเราก็ทำงานปฏิบัติธรรม เพิ่มความดับทุกข์ให้เรามากขึ้น เราจะได้รู้ว่าการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวันนี้ก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง
คนเราต้องเสียสละ ใจดี ใจสบาย ตื่นขึ้นถึงนอนหลับ อย่างนี้คือการทำความดี
พระพุทธเจ้าท่านจำวัด บรรทมคืนหนึ่งแค่ ๔ ชั่วโมง ท่านมีความสุข การทำงานคือการปฏิบัติธรรม หวังว่าท่านทั้งหลายจะนำคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของเทวดา มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายไปประพฤติปฏิบัติให้ประสบกับสันติสุขกันถ้วนหน้าด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ
พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
วันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
ไม่มีความเห็น