....................
ทั้งจากประสบการณ์การเป็นนักเรียน (ทั้งบ้านนอกและเมือง)
ประสบการณ์การเป็นครูผู้สอน (บ้านนอก)
ประสบการณ์การเป็นผู้บริหารสถานศึกษา (บ้านนอก)
ทั้งการศึกษางานวิจัย งานเขียน งานประชุมทางวิชาการ
ทั้งการอ่าน-การสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนในสังคม
ไล่ดะมาตั้งแต่ชาวบ้านร้านช่องธรรมดาๆ นักการศึกษาทั่วไป กระทั่งถึงปราชญเมธีของแผ่นดิน ฯลฯ
ครูวุฒิสรุปได้โดยไร้ความกังขาว่า
"เด็กไทยเรียนหนัก" หนักทั้งเนื้อหาสาระ, วิธีการ และระยะเวลาเรียน
แต่ "ด้อยคุณภาพ" ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสมอง
ซึ่งครูวุฒิวิเคราะห์ว่า...
น่าจะเกิดจากการที่ "การศึกษาไทยยัดขยะใส่สมองเด็ก" เร็วเกินไป
ทั้งๆที่ในระยะช่วงวัยอนุบาล - ประถมศึกษา
น่าจะเป็นช่วงวัยแห่งการต่อเติมเสริมพลังและศักยภาพทั้งทางกาย จิตใจ และสมอง
ด้วยเทคนิควิธีการกระตุ้น กล่อมเกลาและเร่งเร้าด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์
แต่การศึกษาไทยกลับ "ยัด" เนื้อหาให้เด็กไทย "จำ-จิ้ม" แข่งกัน
พร้อมตัดสินคนที่จำได้และจิ้มถูกมากๆว่า "เด็กเก่ง"
ส่วนเด็กที่จำได้น้อยและจิ้มถูกน้อยว่า "เด็กโง่"
ประเทศไทยเลยมีแต่ "เด็กโง่" เต็มประเทศ
เพราะนักการศึกษาไทยผู้ออกแบบหลักสูตร
ไม่เคยเคารพสิทธิและให้เกียรติกับความสามารถของเด็กทางด้านอื่น
หนำซ้ำยังรังเกียจความสามารถทางสร้างสรรค์ในหลายๆด้านของเด็กซะด้วยซ้ำ
จึงออกแบบหลักสูตรออกมาให้เต็มไปด้วยเนื้อหาสาระที่เป็นความรู้เก่าๆที่ไม่ทันยุค
สำหรับให้ครูนามาบอกต่อให้นักเรียน "จดลงในสมุด" และ "จำใส่สมอง"
เสร็จแล้วก็นำไปจิ้มข้อ ก ข ค ง จ ให้ตรงรูที่ครูหรือคอมพิวเตอร์จะตรวจว่า "จิ้มถูก"
จิ้มถูกมาก ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง หรือถูกน้อย
นักการศึกษาไทยก็กำหนดให้ครูรับตัดสินลงในแบบ ปพ. (หรือ Transcrips) เป็นหลักฐานทันที
ซึ่งเป็นได้ทั้งประจาน (คนที่จิ้มถูกน้อย) และเชิดชู(คนที่จิ้มถูกมาก)
และท้ายที่สุด
คนที่จิ้มถูกมากๆตลอดเส้นทางการเรียนและการสอบเลื่อนระดับหว่างทำงานน่ะแหละ
ที่มักจะกลายเป็นผู้โกงหรือคอรัปชั่นมากที่สุด
เห็นๆกันอยู่ใช่หรือไม่ครับท่าน
,,,,,,,,,,,,,,,,,,
พี่น้องทุกท่านครับ
ทั้งๆที่เราวิพากษ์วิจารณ์กันมานานนมว่า
"เด็กไทยแบกตำราเรียนจนหลังโก่ง"
เรียนหนักก่อนวัยอัยควรจนอ่อนล้า จนเป็นเหตุให้เบื่อการเรียน(ในห้องเรียน)
เบื่อแม้แต่การอ่าน ซึ่งเป็นพื้นฐานการเรียนรู้และคุณภาพของมนุษย์อันสำคัญ
แต่วงการศึกษาไทยก็ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเอาจริง
หนำซ้ำกลับสร้างระบบ มาตรการ และวิธีการ
พร้อมหน่วยงานองค์กรขึ้นมาสร้างภาระให้ครูและเด็กเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก
ซึ่งเป็นเหตุให้ครูต้องเร่งรัดเร่งเร้าให้เด็ก "จำ-จิ้ม" ให้ถูกมากๆขึ้น
เคี่ยวหนักกันแบบมีงบประมาณสนับสนุนพิเศษ ครูไม่ทำไม่ได้
มีระบบตรวจสอบและติดตามกันอย่างจริงจัง
จันทร์-ศุกร์แล้วยังไม่พอ ยังต่อด้วยเสาร์-อาทิตย์กันอีก
ล้าหรือไม่ล้า เหนื่อยหรือไม่เหนื่อยก็คิดกันเอาเอง ครับพี่น้อง....
...................
ต่อไปนี้
เป็นเสียงของคนนอก ทั้งนักวิชาการ (ผ่านงานวิจัย) และสื่อมวลชน (ผ่านประสบการณ์) ที่มองการศึกษาไทย
ที่ครูวุฒิเก็บมาเป็นข้อมูลประกอบการจัดการศึกษาในความรับผิดชอบ
สนใจลองคลิกที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยครับ
และหากท่านมีความคิดเห็หรือข้อเสนอแนะใดเพื่อการพัฒนาการศึกษาไทย
ก็อย่าได้รีรอ ขอความกรุณาชี้แนะได้เลยครับ
...................
ขอบคุณภาพจาก http://blog.eduzones.com/racchachoengsao/88413
และ http://www.buriramguide.com/