ในงาน
Franco-Thai Symposium 2011 เมื่อวันที่ ๑ ก.พ. ๕๕ พบ ศ.
ดร.วิชัยริ้วตระกูล
ประธานกกอ.ที่ทำหน้าที่หลังผมลาออกท่านถามเหตุผลที่ผมลาออก
และอื่นๆ อีกหลายอย่าง
ผมสารภาพกับท่านว่า หลังจากไตร่ตรองมานาน ผมคิดว่าตนเองทำผิดหลายอย่างในฐานะประธาน กกอ. ส่วนใหญ่ทำผิดเพราะยึดหลักการเกินไป ไม่ปรับปรน (ผ่อนปรน) ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง จึงเป็นที่มาของบันทึกนี้เพื่อเสริมสิ่งที่ผมได้เรียน ศ. วิชัยไปแล้ว
เกณฑ์ตัดสินว่าทำผิดคือ ประเทศชาติได้ประโยชน์น้อยไป
ผมขอทบทวนตนเองโดยใช้เครื่องมือ AAR (After Action Review) ในฐานะที่เป็นนัก KM
- เพื่อขับเคลื่อนระบบการกำกับดูแลระบบอุดมศึกษาให้เป็นระบบที่เรียนรู้
เกิดการเรียนรู้ร่วมไปกับสังคมวงกว้าง
- มีการสร้างความรู้เพื่อทำความเข้าใจระบบการศึกษา
สำหรับนำไปสานเสวนากับสังคมวงกว้าง
และเพื่อนำไปเสนอแนะเชิงนโยบายต่อ รมต. ศึกษาฯ
- สถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งมีจุดยืนหรือจุดเน้นของตนเองในด้านความเป็นเลิศ
ทำให้ระบบอุดมศึกษาเป็นระบบที่มีความหลากหลาย
หลายความเป็นเลิศ
หลักฐานเชิงประจักษ์ของวัตถุประสงค์อยู่ที่
Pptประกอบการนำเสนอต่อการประชุม กกอ. ครั้งแรกที่ผมเป็นประธาน
ที่นี่
ข้อนี้ตอบยากเพราะในช่วงเวลา ๒ ปีเศษมีการวางฐานตามวัตถุประสงค์ ๖
ข้อข้างบนแต่ฝ่ายปฏิบัติคือกกอ.ยังคงทำงานแบบเดิมๆและที่สำคัญคือเจ้าหน้าที่ของสกอ.มีทักษะสำหรับทำงานประจำไม่มีทักษะสำหรับทำงานสร้างการเปลี่ยนแปลง
มีทักษะสำหรับทำงานแบบ regulatory by command and control
ไม่มีทักษะทำงานกำกับดูแลแบบ knowledge-based
และใช้กลไกสังคม และกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ในการกำกับดูแลระบบ
อุดมศึกษา ความจริงข้อนี้จะเชื่อมโยงไปสู่คำตอบข้อ
๔
ข้อที่ผมคิดว่าพอจะเห็นผลสำเร็จชัดเจนคือ ข้อ ๒
“มีการสร้างความรู้เพื่อทำความเข้าใจ ระบบการศึกษา”
ซึ่งผลงานเกือบทั้งหมดมาจากสถาบันคลังสมองของชาติ
ที่มี ศ. ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง เป็นผู้อำนวยการ
โดยผมให้เครดิต ดร. สุเมธ แย้มนุ่น ที่สามารถชักชวน ศ. ดร. ปิยะวัติ
มาทำงานนี้ได้ ผลจากข้อ ๒ จะนำไปสู่ผลตามข้อ ๑
แต่ยังไม่มีการจัดการที่ สกอ. เพื่อให้เกิดผลตามข้อ ๑
ที่จริงมีการเคลื่อนไหวไปตามแนวทางของวัตถุประสงค์ทั้ง ๖
ข้อ แต่เป็นการเคลื่อน แบบวิวัฒนาการ
ไม่ใช่แบบที่เป็นผลของการจัดการ
ที่จริงทำได้น้อยทุกข้อแต่ถ้าจะให้เลือกข้อที่มีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุดคือข้อ “ส่งเสริม mobility ของ อจ. นศ.” ทั้งที่เป็น mobility ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาภายในประเทศ และ mobility ออกไปนอกประเทศและเข้ามาในประเทศ ที่มาตรการส่งเสริมยังน้อยไป ยังไม่ชนะระบบที่แข็งตัว ต่างสถาบันต่างอยู่ เน้นแข่งขันกันมากกว่าร่วมมือ
ข้อนี้คือเป้าหมายหลักของการเขียนบันทึกนี้สำหรับการเรียนรู้ของตนเองและสำหรับเสนอแนะต่อประธานกกอ.ท่านใหม่คือ
ศ. ดร.วิชัยริ้วตระกูลไม่ใช่เพื่อบอกว่าอยากกลับไปทำงานแก้ตัว
ผมฟันธงว่าต้องทำ๖อย่าง
(๑)ดำเนินการให้มีการพัฒนาทักษะของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสกอ.
ให้ทำงานกำกับดูแลระบบอุดมศึกษาในมิติใหม่ที่ไม่ใช่เน้น regulate by
power แต่หันมา regulate by empowerment เป็น
knowledge-based regulation
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากหากปล่อยไว้สกอ.
ก็จะยิ่งตกต่ำล้าหลังความผิดพลาดของผมในเรื่องนี้คือได้ดำเนินการผ่านการประชุมแบบ
retreat
แล้วมอบให้เลขาธิการกกอ.ไปดำเนินการเรื่องนี้ยากและซับซ้อนเกินกำลังของเลขาธิการกกอ.จะดำเนินการได้ต้องมีพลังภายนอกเข้าไปช่วยคือต้องกำหนดวิสัยทัศน์เปลี่ยนแปลงระบบการทำงานภายในสกอ.อย่างชัดเจนตามด้วยการวางยุทธศาสตร์การสร้างการเปลี่ยนแปลงและแผนปฏิบัติโดยมีกรรมการกกอ.
เข้าไปช่วยทุกขั้นตอน
(๒)ร่วมกันตั้งโจทย์ใหญ่เชิงระบบแล้วมอบให้สถาบันคลังสมองฯไปดำเนินการวิจัยและพัฒนาโดยจัดให้มีงบประมาณก้อนโตพอที่จะดำเนินการตามโจทย์ใหญ่นั้นที่เป็นโจทย์ที่นำไปสู่การตัดสินใจปรับเปลี่ยนระบบและกติกาที่ล้าหลังขัดขวางเป้าหมาย
๖ ประการตามข้อ ๑
(๓)ทุกครั้งที่มีการประชุมกกอ.
มีการเตรียมล่วงหน้าว่าหลังการประชุมจะมีการแถลงข่าวเชิงนโยบายเรื่องอะไรย้ำว่าต้องไม่แถลงข่าวเล็กๆที่เป็นเรื่องขัดแย้งเฉพาะกาลต้องแถลงข่าวเรื่องเชิงนโยบายใหญ่ๆเชื่อมโยงกับการดำเนินการเป็นรูปธรรมและเชื่อมโยงกับบทบาทของสาธารณชนต่อการขับเคลื่อนระบบอุดมศึกษา
(๔)นัดพบรมต. ศึกษาธิการทุกๆ ๒
เดือนเพื่อเสนอแนะนโยบายหลักๆเกี่ยวกับบทบาทของอุดมศึกษาต่อการพัฒนาบ้านเมืองเช่นเรื่องการวิจัยการผลิตบัณฑิตการทำงานเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของผู้คนการชี้นำสังคมในเรื่องสำคัญๆหรืออาจเรียกว่านโยบายสาธารณะโดยต้องมีคณะทำงานยกร่างประเด็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแต่ละเรื่องมีความยาวไม่เกิน
๑ หน้าสำหรับนำไป dialogue
กับรมต.
(๕)ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เข้าสู่ตำแหน่งวิชาการใหม่ให้ยอมรับวิชาการหลายด้านได้แก่
scholarship of teaching, scholarship of research, scholarship of
services
โดยอาจารย์ต้องทำงานทุกด้านแต่ละคนทำงานด้วยน้ำหนักต่างกันตามข้อตกลงอย่างเป็นทางการและนับผลงานวิชาการทุกด้านประกอบกัน
(๖)แสวงหาความร่วมมือกับกลไกอื่นเช่นทปอ.,ปอมท.
เพื่อร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงตาม ๕ ข้อข้างบน
ผมได้ความรู้และมิตรภาพมากมายในการทำหน้าที่ประธานกกอ.
ในช่วงเดือนมกราคม ๒๕๕๒ - กันยายน ๒๕๕๔ ดังได้เขียนเล่าใน
บล็อก gotoknow.org/blog/council ตลอดเวลาดังกล่าว
หลังทำ AAR กับตนเองผมได้บทเรียนของการทำงานบนฐานของหลักการ
กับบนฐานของความเป็นจริง ที่จะต้องมีสมดุลระหว่าง ๒
ขั้ว เพื่อให้เกิดผลดีต่อสังคม เป็นที่ตั้ง
วิจารณ์ พานิช
๔ ก.พ. ๕๕
ไม่มีความเห็น