สัมมาปฏิปทา


การให้สติเรื่องความอ่อนแอที่จะได้ปรับปรุงปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์ได้มอบหมายมาให้บรรยายนี้ดีมาก เรื่องปฏิปทานี้สำคัญ พระรูปไหน เณรรูปไหน โยมคนใดที่จะก้าวหน้านั้นชี้ขาดได้เลยว่า “ปฏิปทา” ที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เป็นพระอริยเจ้า ก็ขึ้นอยู่ที่ข้อวัตรปฏิบัติ ขึ้นอยู่ที่ปฏิปทา

 

 

     พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ให้เรายึดมั่นถือมั่นปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติ เปรียบเสมือนเราจะข้ามทะเลข้ามมหาสมุทร เราจะข้ามวัฏฏะสงสารก็เช่นเดียวกัน เราจะต้องมียานมีข้อวัตรข้อปฏิบัติ ถ้าเราจะข้ามมหาสมุทร ถ้าเราจะไปปล่อยเรือ เราก็จมน้ำตาย เราจะไปว่าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้นไม่ได้ การที่เราจะไปพระนิพพาน เราจะต้องมีข้อวัตรปฏิบัติที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ มันจะขลังจะศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่ทุกท่านทุกคนตั้งใจประพฤติปฏิบัติกัน

 

     ยกตัวอย่างเช่นเราเดินทางไกลกลับมาเหนื่อย ๆ แล้วก็ปล่อยวางไม่ทำข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์บอกว่า เราทำอย่างบนี้ใช้ไม่ได้เลย ไม่ถูกต้อง มันชอบอ่อนแอ ชอบตามใจตนเองคนเรานี่

 

     ต่อจากนี้ไป เราก็ต้องพยายาม ถ้าไม่พยายามไม่ได้ ที่ผ่านมาหลายปี ก็รู้ว่าตัวเองว่ายังไม่คลังไม่ศักดิ์ไม่สิทธิ์ ชอบตามใจ ชอบฟรีสไตล์ มันฉลาดจริง มันเก่งจริง แต่ว่ามันยังใช้ไม่ได้นะ ทีแรกก็คิดว่าตัวเองฉลาด คิดว่าสัมมาปฏิปทา ทางสายกลาง แต่คิดไปคิดมาแล้ว มันไม่ใช่สายกลาง มันต้องแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง

 

     ตอนเช้าตีสามมันยังอ่อนแอ ยังง่อนแง่นคลอนแคลน มันยังไม่สู้ ยังไม่ปรับปรุงตัวเองเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มันยังเป็นคนขี้ขลาด มันยังเป็นคนกลัวอยู่มาก อยากเจริญ อยากก้าวหน้า แต่ไม่อยากประพฤติปฏิบัติ มันเก่ง มันหลีกเลี่ยงแก้ตัวเก่ง มันฉลาดมาก มันมายาสาไถย พระพุทธเจ้าบอกเรา ข้อวัตรปฏิบัตินี่เป็นสิ่งที่สำคัญ

 

ท่านอย่าไปคนอ่อนแอ ถ้าเรารักตนเอง เมตตาตนเอง ต้องทำข้อวัตรปฏิบัติเข้มแข็ง

 

     พระพุทธเจ้าท่านรักเรา เมตตาเรา สงสารเรา เห็นเราเหน็ดเราเหนื่อยในการสู้ทนทำความเพียร ในการประพฤติปฏิบัติ

 

     การปฏิบัติมันยากมันลำบาก แต่ด้วยเหตุจำเป็น สิ่งที่ยากลำบากมากกว่านั้นก็คือการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร จึงเมตตาสงสารพวกเรา ถึงจะเหน็ดถึงจะเหนื่อยก็พากันประพฤติปฏิบัติ

 

     เมื่อพระพุทธเจ้าเมตตาเรา เราก็ต้องเมตตาเราเอง ทุกท่านทุกคนให้เพิ่มความหนักแน่น ความเข้มแข็งให้กับตนเอง  ให้กับปฏิปทาของตัวเอง “การปฏิบัติมันไม่ใช่ของง่าย มันไม่ใช่ของกล้วย ๆ มันต้องแลกด้วยชีวิต...”

 

 

     ทำความดีมันต้องแลกด้วยชีวิต ทำไมถึงว่าอย่างนั้น ต้องสู้ ต้องอด ต้องทน ต้องบากบั่น ถ้ามันจะตาย ก็ให้มันตายด้วยการทำความดี อย่าให้ตัวเองต้องติเตียนตนเองว่า ตัวเองนี้มันแย่ แค่นี้ก็ยังไม่ออกไปนั่งสมาธิ ทำวัตรสวดมนต์ ให้มันตายไปเลย ตายในการทำความดี

 

     อย่าถืออภิสิทธิ์ว่าตัวเองเดินทางไกล อย่าไปถืออภิสิทธิ์ว่าตัวเองทำงานสงฆ์ ทำกิจสงฆ์ ถ้าไม่อย่างนั้น มันจะได้อย่างหนึ่ง มันก็เสียอีกอย่างหนึ่ง

 

     ความเคยชินที่พวกเราและท่านปฏิบัติมา แสดงว่ามันอ่อนแอ แสดงว่ามันไม่รอบคอบ มันเลยจะไปในร่องเก่า ไปในทางเก่า  แม้แต่ถืออภิสิทธิ์ว่าเรานี้มันบวชมาหลายพรรษา มันทำมามากแล้วก็ต้องให้โอกาสผมบ้าง ความแก่ ความเจ็บ ความตายนี่มันไม่ได้โอกาสเราหรอกนะ

 

     ครูบาอาจารย์ให้เราถือขลัง ให้ศักดิ์ให้สิทธิ์ ในเรื่องอย่างนี้ จะแสดงถึงความแข็งแรงแข็งแกร่ง เป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้พระรุ่นน้อง หรือผู้บวชมาภายหลังว่า พระเค้าไม่อ่อนแอกันเน๊อะ เค้าไม่ขี้เกียจ ไม่เอาสิ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้มาเป็นที่อ้าง

 

     คนที่ฉลาดมันบกพร่องในส่วนนี้ มันมีปัญหาในส่วนนี้ มันมีเหตุมีผล ที่แท้จริงงานนี้เราแพ้เสียแล้ว เราเสียรู้มาตั้งหลายปีแล้ว เอาชีวิตถวายต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์ อย่าได้ติดสุขติดสบาย อย่าได้พากันหลง มันจะเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเราพากันหลง หลงทางมันเสียเวลา ทุก ๆ ท่านทุก ๆ คน ต้องผ่านในเรื่องนี้ ความผิดพลาดก็ถือว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ของพวกเรา ถ้ามันไม่โง่ มันก็ไม่ได้ฉลาด…

 

พระพุทธเจ้าท่านให้เราลงรายละเอียดทางจิตทางใจ เราอย่าไปคิดว่าเราแย่แล้ว เราตายแน่ “มันจะไปพระนิพพานหรือว่ามาทำทุกกรกิริยากันแน่เนี่ย…!”

 

     ความคิดอย่างนี้แสดงว่าอาการของจิตของใจเรามันอ่อนแอ เมื่อร่างกายของเรามันไม่สบาย เราต้องทำใจของเราสบาย เราพยายามมาแก้ที่จิตที่ใจของเรา 

 

     เราแก้อย่างไร? ก็ต้องแก้ที่ใจของเรา ที่มันทุกข์มันยาก มันลำบากเพราะใจของเรามันฝืน เพราะใจของเรามันต่อต้าน เพราะมันไม่พอใจ มันเคยบริโภคแต่อารมณ์ทางโลกียะ บริโภคแต่อารมณ์ของสวรรค์ เมื่อจะให้มันบริโภคอารมณ์ของพระนิพพานคือสิ่งที่ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ คือจิตคือใจ จิตใจที่มีแต่ความสงบ ไม่ปรุงแต่งไม่วุ่นวาย “ถ้าเราเอาแต่ความสุข ทางเนื้อทางหนัง ทางอยู่ทางกินนี้ล่ะก็ มันไม่ใช่ที่สุดแห่งกองทุกข์...”

 

     เราเดินจงกรมทั้งวัน ถ้าเราไม่ปรุงแต่งเราจะทุกข์มั๊ย? เราก็ไม่ทุกข์ เรานั่งสมาธิทั้งวัน ถ้าเราไม่ปรุงแต่งเราจะทุกข์มั๊ย? มันไม่ทุกข์  มันมีแต่ความสงบ มันมีแต่ความดับทุกข์ ถ้ามันเจ็บมันก็แค่ตาย ให้เรารู้จักรู้แจ้ง ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง เราไม่ต่อต้าน ไม่ปรุงแต่งอะไรทั้งนั้น ความทุกข์จะมาจากไหน? ลักษณะความคิดแบบนี้ทำให้ตัวเองเกิดสัมมาทิฏฐิ เกิดความฉลาด

 

     ศักยทิฐิคือการถือตัวถือตนของเรานี้มันมีมาก  พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณาร่างกายของเราเยอะ ๆ มาก ๆ แยกออกเป็นชิ้น ๆ เหมือนอะไหล่รถยนต์ จนหมด แล้วก็ประกอบใหม่ นักปฏิบัติต้องทำอย่างนี้บ่อย ๆ ทำทุกวัน มันจะได้บรรเทาทิฐิมานะ อัตตาตัวตน พยายามฝึกปล่อยฝึกวางสลับกันไปนะ

 

     เราทำอย่างนี้ดูเหมือนจะไม่ได้อะไร ไม่เกิดประโยชน์ แต่การประพฤติปฏิบัติแบบนี้มันเกิดสาระมาก เกิดประโยชน์มาก ทำไปเรื่อย ๆ ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องใจร้อน มันต้องอาศัยระยะเวลาเพื่ออบรมบ่มอินทรีย์บารมีของเราให้แก่กล้า เราปฏิบัติของเราไปเรื่อย ๆ ใครจะรู้ใครจะเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่เป็นไร

 

     การให้สติเรื่องความอ่อนแอที่จะได้ปรับปรุงปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์ได้มอบหมายมาให้บรรยายนี้ดีมาก เรื่องปฏิปทานี้สำคัญ พระรูปไหน เณรรูปไหน โยมคนใดที่จะก้าวหน้านั้นชี้ขาดได้เลยว่า “ปฏิปทา” ที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เป็นพระอริยเจ้า ก็ขึ้นอยู่ที่ข้อวัตรปฏิบัติ ขึ้นอยู่ที่ปฏิปทา

 

     เราก็ดูหลาย ๆ ท่าน หลาย ๆ องค์ น่าจะไปได้ดี น่าจะโด่งดัง แต่มีความประมาท ย่อหย่อน อ่อนแอ อนุโลม ปฏิโลม ให้กับธาตุกับขันธ์ ให้กับญาติกับโยม ก็เลยประพฤติปฏิบัติไม่ถึงจุดหมายปลายทางซักที ไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ตัวเองตั้งไว้ ที่ตัวเองคิดไว้

 

     พระพุทธเจ้าท่านไม่ประมาท ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่ประมาทท่านถึงได้เป็นพระอรหันต์ ท่านไม่มีอ่อนแอเลยนะ แม้แต่วาระจิตก็ไม่รู้สึกอ่อนแอหวั่นไหวเลย

 

     นักปฏิบัติทุกท่านทุกคนต้องมุ่งมรรคผลนิพพานอย่างเดียว อย่าไปสนใจความสุขในสวรรค์ ความสุขทางเนื้อหนัง ความสุขในรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ความเอร็ดอร่อย ความสุขในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสิ่งนี้มันอันตราย มันอร่อยมาก แต่ว่าสิ่งนี้มันอันตรายมาก “นักปฏิบัติของเราถ้ามาติดสุขติดสบายนี้มันแย่มาก มันใช้ไม่ได้...”

 

     หนทางสายนี้ทุก ๆ ท่าน ทุก ๆ ท่านต้องผ่าน แล้วก็ต้องผ่านได้ ต้องอาศัยความอด ความทน ความพากความเพียร ความตั้งมั่นใจปฏิปทาของเรา หนทางอื่นไม่มี มันมีทางนี้ทางเดียว

 

“เอโก มรรคโค” มรรคคือข้อปฏิบัติ ท่านจะไปพระนิพพาน ถ้าท่านไม่ละ ถ้าท่านไม่ปล่อย ถ้าท่านไม่วาง ใครจะมาละ ใครจะมาปล่อย มาวางให้ท่าน

 

     ท่านจะหนีไปไม่ได้นะ ท่านคิดว่าจะหนีไปได้เหรอ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ท่านจะหนีไม่ได้ เมื่อเราหนีไม่ได้ เราจะหนีมันทำไม เราต้องผ่านด่านนี้ให้ได้นะ

 

     เราต้องอดทนต้องทนยึดมั่นถือมั่นในข้อวัตรอันประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าท่านมอบไว้ให้เรา

 

     เราประพฤติปฏิบัติข้อวัตรให้สบายใจ ให้มีความสุข ไม่ว่าเราจะทำวัตรสวดมนต์ ก็ให้ใจมันมีความสงบ ก็ให้ใจมันมีความสุข ไม่ว่าเราจะเดินจงกรม ก็ให้มีความสุขความสงบ ไม่ว่าเราจะนั่งสมาธิภาวนาก็ให้ใจมันมีความสุขความสงบ

 

     อนาคตที่จะรุ่งเรืองสดใส มันอยู่ที่ปัจจุบันนี้ เมื่อปัจจุบันมันดี อนาคตมันก็ดี เมื่อปัจจุบันใจมันมีนิพพาน อนาคตใจก็มีพระนิพพาน เมื่อจิตใจมันย่อหย่อน มันตกต่ำ มันยินดีแต่ความสุขทางเนื้อทางหนัง ทางลาภยศสรรเสริญ จิตใจมันก็ตกต่ำ ครั้งแรกมันสวรรค์หรอกต่อไปมันก็ลงนรก

 

     พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่าจิตวาระสุดท้ายเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราไปเกิด ท่านถึงให้เราคิดแต่สิ่งที่ดี ๆ พูดแต่สิ่งที่ดี ๆ ทำแต่สิ่งที่ดี ๆ  เราต้องมีความดีที่ก้าวหน้าออกไป ให้ไปข้างหน้า นี่คือการสร้างบารมีอบรมอินทรีย์ให้แก่กล้า ไม่ใช่มาอาลัยอาวรณ์ วันนี้ก็คิดดี พูดดี ทำดี พรุ่งนี้ก็มาอาลัยอาวรณ์ เดี๋ยวมันก็เดินหน้า เดี๋ยวมันก็ถอยหลัง อย่างนี้มันจะได้อะไร

 

     ขึ้นชื่อว่าความผิด พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราคิด แม้แต่เราคิดก็ยังไม่ได้ เพราะว่าพระนิพพานมันเรื่องจิตเรื่องใจ เราปกปิดคนอื่นได้ แต่เราปกปิดตัวเองไม่ได้ อินทรีย์บารมีของเรายังอ่อน ยังไม่แก่กล้า ให้เราถือนิสัยถือวินัยของพระพุทธเจ้าไว้ ให้มีความเชื่อ มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าไว้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าพาเราทำอย่างนี้อย่างนี้ ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงได้เป็นพระอรหันต์

 

     ให้ทุกท่านทุกคนตั้งใจดี ๆ อธิษฐานจิตให้ดี ๆ ให้มีหลักให้มีเกณฑ์ แล้วก็บังคับตัวเอง อย่าให้คนอื่นบังคับ การบังคับตัวเองเค้าเรียกว่าศีล เมื่อศีลเข้าถึงจิตถึงใจ ถึงเจตนา สมาธิที่มันเป็นธรรมชาติ ที่มันเป็นกฎของธรรมชาติ มันจะเกิดขึ้นมาเอง ปัญญาตัวที่ดับทุกข์ที่แท้จริงมันถึงจะเกิด ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 

     อาการที่มันรักษาศีล อาการที่มันนั่งสมาธิ อาการที่มันทำข้อวัตรปฏิบัติก็กลัว นี้ก็คือ “อาการของกิเลสที่มันกลัว” มันกลัวที่จะหมดภพหมดชาติ มันกลัว มันอาลัยอาวรณ์ มันไม่อยากไปพระนิพพาน มันอยากจะขออยู่ต่อ

 

     เหมือนเราเกิดมานี้ ถึงจะทุกข์ยากลำบากด้วยการดำรงธาตุดำรงขันธ์ การทำมาหากินทุก ๆ คนมันก็ไม่อยากตาย กิเลส อวิชชา ตัณหาอุปาทาน มันก็ไม่อยากตายเหมือนกัน มันติดอดีต ติดภพ ติดชาติ มันติดพ่อติดแม่ ติดลูกติดหลาน มันติดสมบัติข้าวของเงินทอง มันติดมาก ติดจริง ๆ

 

     นี้คือเรื่องอวิชชา  เรื่องความหลง เรื่องตัวเรื่องตน เรามันถึงเป็นคนอ่อนแอ มาบวช มาปฏิบัติมันก็ไม่ยอมปฏิบัติ เค้าแต่งตั้งให้เป็นพระก็ไม่ยอมเป็นพระ อุปัชฌาย์ กรรมวาจา คณะสงฆ์สวดจนเหนื่อยนะ

 

     ถ้าเราคิดดูดี ๆ นะ “เราก็ยังชื่อว่าเป็นพระแต่งตั้งหรือว่ายังเป็นพระปลอมอยู่” มันเป็นพระที่ตัวหนังสือ แต่ไม่ได้เป็นพระที่จิตที่ใจมันยังมาต่อต้านคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็มาละเมิดคำสอนของพระพุทธเจ้า

 

     พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “ในอนาคตจะมีบุคคลที่มาเอาพระพุทธศาสนาเป็นที่ทำมาหากินด้วยการสมัครรับแต่งตั้งว่าจะเป็นสุปฏิปันโน” ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติดีผู้ปฏิบัติชอบเพื่อสิ้นอาสวะ แต่แล้วไม่ได้ประพฤติปฏิบัติทำตามที่ให้สัจจะคำมั่นสัญญาไว้ จะด้วยเจตนาก็ดี จะด้วยไม่เจตนาก็ดี จะด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี

 

     ขอให้ทุกท่านได้พิจารณาตัวเองว่าตัวเองได้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตรงต่อพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้วหรือยัง ถ้ายังพวกเราและท่านให้ยกระดับจิตใจให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ มิฉะนั้นเราจะได้ชื่อว่าเป็นพระปลอมทางจิตทางใจ เดี๋ยวนี้ท่านกำลังเป็นแค่พระจริงทางกาย

 

     เรานี่แหละที่ยังเป็นพระหนุ่ม ๆ หรือว่าเป็นพระแก่ ๆ เรานี่แหละจะเป็นครูบาอาจารย์ เมื่อเราจิตใจของเราไม่เป็นพระ เราจะเอาอะไรไปเป็นครูบาอาจารย์เล่า...!

 

     ปฏิปทาที่เข้มแข็ง หนักแน่น เด็ดเดี่ยว ทุกท่านทุกคนต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้แล้ว ถ้าเราไม่ตั้งใจแล้ว เราสมควรแล้วหรือที่จะบริโภคอาหารปัจจัยสี่ของประชาชน มันสมควรแล้วหรือที่จะให้ประชาชนเค้ากราบเค้าไหว้

 

     เค้าไหว้พระนะ...! พระก็พระจริง ไม่ใช่พระปลอม พระปลอมคือพระอลัชชี พระไม่มีความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป ละเมิดพระวินัย เมื่อละเมิดพระวินัยแล้วก็ละเมิดธรรม ถึงจะห่มผ้าเหลืองโกนหัว มันก็เป็นได้แต่เพียงพระแต่งตั้ง เราที่เป็นพระสมมุติด้วยกันก็ไม่อยากกราบ โยมก็ไม่อยากกราบอยากไหว้ กราบไหว้ตามโลกสมมติมันก็ฝืนใจ

 

     เราเป็นญาติเป็นโยมก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราบริโภคปัจจัยสี่ข้าวของเงินทองมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 

     ญาติโยมผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกจิตฝึกใจเพื่อเป็นพระเหมือนกัน เพราะใจของเราทุก ๆ คนมันเหมือนกันหมด เมื่อเรามาอยู่วัด ก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติมาเหมือนกับพระ มาถือศีลแปด ถือเนกขัมมะ มานั่งสมาธิ ทำกิจวัตรอะไรต่าง ๆ มาเหมือนกับพระ

 

     หยุดเรื่องภายนอกให้หมด หยุดเรื่องภายนอกก็ได้แก่ อย่าเอาเรื่องทางโลกเข้ามาในวัดที่มันเป็นข้าศึกต่อกุศล ที่มันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ เช่น โทรศัพท์มือถือ...

 

     โทรศัพท์มือถือนี่ถ้าเรามีเราต้องปิดไว้ เราไม่ต้องเอาโทรศัพท์มาใช้ในวัด มันทำลายวัด ทำลายพระศาสนา เพราะมือถือมันมีทุกอย่าง เล่นอินเตอร์เนทก็ได้ ฟังเพลงก็ได้

 

     บางคนก็นิสัยไม่ดี ดื้อด้าน ครูบาอาจารย์บอกไม่ให้ใช้โทรศัพท์ ก็ยังจะใช้ คิดว่าจะใช้แต่สิ่งที่จำเป็น อย่างนี้เขาเรียกว่า “คนหัวดื้อ คนหัวใจด้าน”

 

     ยิ่งพระเรานี่มีโทรศัพท์ มีเครื่องสื่อสารต่าง ๆ ถ้าไม่เกิดความเสียหายมาก ก็ตั้งอยู่ในความประมาทมากเกิน ทำไมไม่ประพฤติปฏิบัติ ไม่มุ่งมรรคผลพระนิพพาน

 

     พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรายุ่งในเรื่องโลก ๆ คนป่วย คนมีโรค มีภัย มันดีมั๊ย? มันสบายมั๊ย? คนเจ็บไข้ได้ป่วยมันไม่สบาย มันป่วยทางกาย การป่วยทางกายถือว่ามีน้อย มันไม่มาก แต่การป่วยทางใจนั้นมันมีมาก วันหนึ่ง ๆ คนป่วยทางใจนี้มันมีเยอะเลย ไม่รู้มันป่วยวันละกี่ครั้ง

 

     พระพุทธเจ้าถึงให้เรารักษาอาการป่วยทางใจ การรักษาอาการป่วยทางใจนี้ก็เริ่มจากการรักษาศีล การประพฤติปฏิบัติ ต้องตัดทางโลก ทางโลกีย์ออกให้หมด ถ้าเราเป็นพระผู้ปฏิบัติก็ได้ชื่อว่าเราหลงโลก เราลวงโลก เรามาทำท่าทำทางกิริยาต่าง ๆ เป็นพระ แต่ว่าใจมันไม่เป็นพระ...

 

     ให้เราตั้งเจตนาให้ถึงจิตถึงใจ เดี๋ยวนี้ยังถือว่าเรายังไม่ช่วยพระพุทธองค์ เรายังไม่จรรโลงพระพุทธศาสนา ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจมีปฏิปทาเยี่ยมยอดจริง ๆ ถ้าเราคิดว่าเรามาบวชเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา มาสร้างวัด สร้างวา สร้างโบสถ์ สร้างวิหารนี้ มันยังไม่จริง มันยังไม่ถูก

 

     ให้เราน้อมดูพระพุทธเจ้า ท่านนั่งอยู่ ท่านเดินอยู่บนพื้นดิน ทำอะไรท่านปล่อย ท่านวางหมด ท่านบังคับเราไม่ให้เราก่อเราสร้าง ไม่ให้ขวนขวายให้เราก่อสร้าง ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ญาติโยมมีศรัทธาเค้าจะมาสร้างให้เราเป็นหลัง ๆ เอง

 

     ไม่ให้ไปเรี่ยไรขอของจากคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ไม่ให้ขึ้นป้ายบอกบุญตามถนนหนทาง ว่าสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ต่าง ๆ ถ้ามันเป็นความคิดของพระเองมันไม่ได้ มันเป็นการขอของจากคนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา

 

     เราคิดดูนะ ครั้งพุทธกาลผู้ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านถึงทำกุฏิให้กับพระผู้ที่ยังไม่จบพรหมจรรย์ได้อยู่ได้ปฏิบัติกัน  ถ้าเราเน้นไปข้างนอกนี่มันไม่เข้าท่า พระพุทธเจ้าว่าการสร้างโบสถ์สร้างวิหารสร้าง อะไรต่าง ๆ นี้มันไม่เข้าท่าเลย

 

     พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างปฏิปทาเหมือนเรากำลังทำกันอย่างนี้แหละ ไม่อย่างนั้นการก่อสร้างต่าง ๆ นี้ มันก็มีประโยชน์น้อย มีอานิสงส์น้อย เพราะทุก ๆ คนที่มาพักพิงมาปฏิบัตินี้ไม่ตั้งอกตั้งใจกัน พระหนุ่ม ๆ เณรน้อยหรือญาติโยมที่พากันประพฤติปฏิบัติจะได้เกิดประโยชน์

 

     เมื่อตัวอย่างมันไม่มี แบบพิมพ์มันไม่มี พระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมไป ๆ คิดว่าประวัติของพระพุทธเจ้า ประวัติของพระอรหันต์คิดว่าเป็นนิยายกันไป ไม่เป็นความจริง ถ้าเราพากันประพฤติปฏิบัติ ดูพระนิพพานก็อยู่ไม่ไกล อนาคตก็สดใสเหลือเกิน

 

 

     เราทำการทำงานให้มันชำนิชำนาญ ให้มันเข้าใจ และก็ให้เป็นการประพฤติปฏิบัติของเราต้องให้มันชำนิชำนาญ ให้มันเป็น วันนี้เราเป็นเท่านี้ขนาดนี้ เราต้องต่อเนื่องในวันพรุ่งนี้เพิ่มขึ้นอีก อย่าไปคิดว่าอนาคตมันริบหรี่ เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร ไม่รู้มันจะเป็นอย่างไร

 

     ถ้าท่านคิดอย่างนั้นแสดงว่ายังไม่รู้อนาคต อนาคตที่เดี๋ยวนี้แหละ ที่มันเห็น ที่มันเป็น เราเองถ้าปฏิบัติไม่หยุดถึงได้เป็นพระอริยเจ้า จะได้ไม่ต้องไปหากราบหาไหว้ไกล ๆ ที่ประเทศอินเดีย ที่วัดนั้นวัดนี้ มากราบพระที่จิตที่ใจของเรานี้แหละ

 

     การประพฤติปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าบอกให้เราไม่อ่อนแอ ให้เราตั้งใจไว้ ไม่ว่าเราจะเหน็ด เราจะเหนื่อยนี้ให้ถือว่าเรื่องใจเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่แล้วก็แล้วไป ให้ถือว่าเรานั้นมันโง่ไปแล้ว

 

     ทุกท่านทุกคนต้องตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ไม่มาปฏิบัติให้เรานะ พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้สอนนะ ธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติที่เราพากันนี้แหละคือพระพุทธเจ้า คือพระธรรม คือพระอริยสงฆ์ นอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว

 

     ถึงจะเหนื่อย ถึงจะยากลำบากมันก็คุ้ม พระพุทธเจ้าท่านรักเรา ท่านเมตตาเรานะ ท่านสงสารเรา ท่านไม่ได้มากดดันเราให้มันยากลำบาก ทั้งที่การประพฤติปฏิบัติของเรามันยากมันลำบาก ถ้ามันไม่ยากไม่ลำบากมันจะได้ดีได้อย่างไร

 

     พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ ๆ ท่านก็พิจารณาว่าการประพฤติปฏิบัติที่จะไปพระนิพพานมันยาก ยากมาก มันทวนกระแส แต่ด้วยอาศัยความเมตตาที่ท่านบำเพ็ญมา ท่านก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าดอกบัวมีหลายเหล่า เหล่าที่หนึ่งมันอยู่ในโคนตม เหล่าที่สองอยู่ใต้น้ำเมื่อมันโผล่มา พวกปลา พวกเต่าก็กินไปหมด เหล่าที่สามอยู่ปริ่มน้ำกำลังจะอยู่พ้นน้ำ เหล่าที่นี่เป็นบัวพ้นน้ำ ท่านก็พิจารณา ท่านก็ว่าบุคคลที่จะได้ตรัสรู้ก็ยังมีอยู่ ท่านก็รู้ว่ามันยากมันลำบากแต่ก็มีประโยชน์ ท่านก็จึงเมตตาสอนพวกเรา

 

     เราเองไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เพียงแต่ประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติตาม เปรียบเสมือนอาหารอยู่ในภาชนะเต็มภาชนะ พวกเราก็พากันบริโภค แต่พวกเรามันยังมีปัญญาน้อย เหมือนกับไก่เขาเอาเพชรเอาพลอยให้ มันไม่เอานะ มันเอาข้าวสาร มันเอาอาหารไก่ ถ้ารู้จักเอาเพชรเอาพลอยแล้ว เอาไปซื้ออาหารไก่ไม่รู้จะได้กี่คันรถ

 

     การประพฤติปฏิบัติต้องเพิ่มศรัทธาให้มากที่สุด มอบชีวิตจิตใจให้พระพุทธเจ้าอย่างเดียว เพิ่มความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป เพิ่มความไม่ประมาทให้มันมากขึ้น  ให้มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เดินจงกรมนั่งสมาธิก็ไม่นั่งคิดอะไร หายใจเข้าหายใจออกให้มันสบาย ให้มันรู้ลมเข้ารู้ลมออก

 

     คนเรามันคิดมาก มันทุกข์มาก คนเรามันนั่งมันนอนทั้งวัน ถ้าเราไม่คิดมันก็ไม่ทุกข์ ให้รู้ความคิดรู้อารมณ์ การหมุนการเหวี่ยงของอารมณ์ เรามีแต่คันเร่งไปข้างหน้าแล้วก็ถอยหลัง ตัวที่มันว่าง ๆ ไม่มีตัวไม่มีตัวมันไม่ค่อยจะมี

 

     พยายามหยุด พยายามเย็นเข้าไว้ เราอย่าไปเผาตัวเอง มีความอยาก นั่งสมาธิก็วางเป้าไว้แล้วว่าไม่ให้เจ็บไม่ให้ปวด ไม่ว่าเราทำอะไรก็วางเป้าไว้หมดเลย

 

     ให้เรามีความสุขในการทำการทำงาน เราจะได้สุข เราจะได้สงบ งานภายนอกนี่ก็ได้ทั้งทรัพย์ ได้ทั้งความสุข งานภายในได้ทั้งศีล ได้ทั้งสมาธิ ได้ทั้งปัญญา

 

     มันอยู่ใกล้ ๆ อยู่ในใจของเรานี้เอง พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านทุกคนให้ทำอย่างนี้นะ ทำไปเรื่อย ๆ จนเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่เป็นอย่าไปหยุดมัน

 

     พระอรหันต์ใครมาแต่งตั้งก็ไม่ได้ นอกจากจิตใจของเรามันเป็นเอง จิตใจมันเสื่อม มันเจริญเพราะความอยาก ความไม่อยาก

 

     ถ้าจิตเราอยาก ไม่อยาก มันก็เสื่อม ถ้าเรายังมีความต้องการอยู่ มันก็ต้องเสื่อม เช่น ถ้าเค้าว่าเราดี เราก็ดีใจ เค้าว่าเราไม่ดี เราก็เสียใจ ถ้าอย่างนี้เค้าเรียกว่า “เราตั้งอยู่ในความเจริญและความเสื่อม”

 

     ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้สนใจเรื่องเหล่านี้ ท่านตรัสไว้เป็นบุคคลาธิฐานเมื่อครั้งที่ท่านตรัสรู้ นายโสตถิยะเอาหญ้าคาแปดกำมาถวายแด่พระพุทธเจ้าท่านนั่งขัดบัลลังก์ทำสมาธิ ก็ได้แก่โลกธรรมทั้ง ๘ นักประพฤติปฏิบัติต้องพากันตัดโลกธรรมทั้ง ๘ ออกจากใจ เรามาประพฤติปฏิบัติไม่ได้มาเอาสิ่งเหล่านี้ เขาว่าเราเป็นอะไร เป็นสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่เป็นอะไร มันเกิดความโง่ของเรา มันเกิดจากความหลงของเรา

 

     การประพฤติปฏิบัติของพวกเราและท่านทั้งหลายนี้มันเป็นอยู่ด้วยโลกธรรม วันนี้เหนื่อยก็ไม่ปฏิบัติ วันนี้ไม่เหนื่อยก็ปฏิบัติกัน สรุปแล้วสัมมาปฏิปทาเป็นสิ่งที่ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ไม่ต้องอ่อนแออีกแล้วต่อไป

 

     ท่านที่เป็นประธานสงฆ์หรือเป็นเจ้าอาวาส พระหนุ่มเณรน้อยถ้าท่านบวชไม่สึกท่านก็เป็นเจ้าวาส ท่านก็เป็นประธานสงฆ์ หรือท่านบวชชั่วคราว บวชระยะสั้น พระพุทธเจ้าก็ให้ท่านตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติกันหมดทุกคน  ในครั้งพุทธกาลถ้าใครบวชแล้วเค้ามุ่งพระนิพพานอย่างเดียว เค้าไม่มีการลาสิกขา  ทุกวันนี้มีการอนุโลมเมตตาให้บวชระยะสั้นได้

 

     เมื่อทุกท่านทุกคนบวชมาแล้วก็ให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติกันอย่างเต็มที่ เพราะว่าตัวพุทธศาสนาที่แท้จริงก็คือการรักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั้งกาย ทั้งวาจา และจิตใจ ทำสมาธิให้ใจของเราให้ไม่มีความโลก ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ปราศจากนิวรณ์ที่นอนเนื่องในสันทะสันดาน

 

     ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ วันหนึ่ง ๆ เวลาก็แค่ ๒๔ ชั่วโมง อย่าได้ปล่อยให้โอกาสให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ การสร้างวัด การสร้างกุฏิ การสร้างวิหาร การสร้างศาลา การสร้างพระประธาน การสร้างเจดีย์ การสร้างเมรุฯ เอาไฟฟ้า เอาน้ำประปาเข้าวัด มันมีประโยชน์น้อย มันไม่ตรงต่อพุทธประสงค์

 

พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ถือว่าเราไม่ได้สร้างประโยชน์ตนและประโยชน์คนอื่น มันมีประโยชน์น้อยจริง ๆ

 

     พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราออกไปข้างนอก ให้กลับมาการประพฤติปฏิบัติของเรา เราอย่าไปคิดว่า ถ้าเราไม่ขวนขวายสร้างวัตถุมันก็มองไม่เห็นผลงานของเราน่ะสิ ว่าเรามีผลงานอะไร...?

 

     พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราขวนขวายอย่างนั้น การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านปฏิบัตดีปฏิบัติชอบ หมดความโลภ หมดความโกรธ หมดความหลง ทุกท่านทุกคนก็อยากไปกราบท่าน อยากไปไหว้ท่าน มันเป็นบุญเป็นกุศล ท่านอยากก่ออยากสร้างอะไรก็ได้หมดแหละทีนี้

 

ถ้าท่านทำไม่ดี ไม่ถูก ไม่ต้อง นรกมันจะลุกเป็นไฟ เผาจิตเผาใจ

 

     พระเป็นหนี้ พระเป็นสินมันดีมั๊ย?  มันไม่ดี เมื่อคนหนึ่งทำได้ อีกคนหนึ่งก็ทำ เลยเป็นอันว่าใครเป็นเจ้าอาวาส ใครเป็นประธานสงฆ์ก็พากันทำอย่างนั้น พากันเหินห่างจากพระพุทธเจ้า พากันหันหลังให้พระพุทธเจ้า “พระพุทธเจ้าไปทางหนึ่ง ข้าพเจ้าก็จะไปอีกทางนึง…”

 

     ทุกท่านทุกคนพยายามไปคิดดี ๆ ตรึกตรองให้ดี ๆ การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นของยากของลำบาก มันเป็นของเหน็ดของเหนื่อย ถ้าท่านจิตใจไม่เข้มแข็ง ท่านรักษาศีลก็ไม่ได้ ทำสมาธิก็ไม่ได้ เพราะท่านเป็นคนประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท เป็นคนละอายต่อบาปน้อย ศรัทธาในการประพฤติปฏิบัติเกือบจะไม่มีเลย ทำไปก็สักแต่ว่าทำไป พอไม่ให้มันน่าเกลียด กลัวคนอื่นเค้าว่าให้ 

 

     ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ ถึงแม้ว่าเราจะได้บวชถูกต้องตามวินัยบัญญัติ ก็ยังชื่อว่าเป็นพระปลอมจริง ๆ เพราะว่าพระไม่เอาจริง พระคือพระธรรมพระวินัยใช่มั๊ย ตัวพระธรรมตัวพระวินัยคือองค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริง

 

     ผู้ได้ปฏิบัติตามธรรมนั้นถึงจะเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ถึงจะได้เกิดที่จิตที่ใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญามันถึงจะรวมเป็นหนึ่งเดียวในจิตในใจ ในชีวิตประจำวันของเรา

 

     การสร้างวัด มันก็เหนื่อย เมื่อสร้างวัดเหนื่อย หรือญาติโยมเขาสร้างมันก็ไม่มีประโยชน์

หมายเลขบันทึก: 479687เขียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2012 06:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 21:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท