เพิ่งได้รู้ถึงคุณค่าของคำว่า "ขอบคุณ" อย่างสุดซึ้งก็วันนี้เอง
เมื่อวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา ผมและพี่ๆ ได้ร่วมทำโครงการ "เครือข่ายมหาวิทยาลัย ช่วยภัยน้ำท่วม" ณ พื้นที่ ต.สามบัณฑิต อ.อุทัย จ.อยุธยา พวกผม 3 คน เดินทางไปพร้อมนักศึกษา อีก 10 คน รวม เป็น 13 คน เพื่อก่อสร้างโรงอาหาร แต่งบประมาณที่ได้ เพียงแค่เทพื้นให้น้องๆไว้กินข้าว ก็เก่งมากแล้ว
พื้นที่จากที่ไม่มีอะไรเลย พวกเราทั้ง 13 คนช่วยกั้นขุดดิน ถมดิน ขนหิน ขนทราย อัดพื้นที่ให้แน่ เทปูน ทีแรกก็ไม่ได้คิด ว่ามันจะมีคุณค่ามากมายจนมาถึงวันสุดท้ายเมื่อรถปูนมาลง เราเทพื้นไปได้ครึ่งเดียว ในระหว่างรอรถปูนคันที่ 2 นั้น มีเด็กคนนึงเดินมาหาผม แล้วจับที่แขนผม พร้อมกับถามว่า
เด็กชาย : ครูครับ ผมจะเข้าไปกินข้าวตรงที่ครูเทปูได้ไหมครับ
ผม : ได้สิครับ ก็ครูทำไว้ให้หนูได้ใช้กินข้าวยังไงครับ จะได้ไม่ต้องนั่งกินตรงบันได และ โคนเสาธง ดีไหมครับ
เด็กชาย : ดีครับ แล้วมันจะแห้งเมื่อไหร่ ผมอยากเข้าไปกินข้าวด้านในแล้วครับ
ผม : เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ใช้แล้วครับ แล้วช่วยกันรักษานะลูกจะได้ใช้กันไปนานๆ
เมื่อสิ้นคำขอบคุณ เด็กคนนั้นก็เดินจากไป พร้อมกับตะโกนบอกเพื่อนๆ ว่า "ครูบอกว่าพรุ่งนี้ก็ได้ใช้แล้ว" และตอนนั้นเองที่ได้เห็นสีหน้าที่ดีใจเพียงเสี้ยววินาที ของเด็กๆ และเสียงคำขอบคุณที่ก้องอยู่ในหู มันทำให้ผมรู้สึกขึ้นมาทันที่ ว่าคำขอบคุณมันอิ่มมากเพียงใค ร่างกายที่เหนี่อยล้าจากการเกลี่ยปูน จากเครื่องที่อัดดิน การขนหินและทราย มันสลายไปในทันที พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ผมจึงได้รู้สึกเลยว่า สิ่งที่พวกเราไปทำนั้นไม่ได้เพียงแต่ช่วยให้เด็กๆ มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่มันย้อนกลับมาสอนเราให้เห็นถึงความเสียสละ และสอนพวกเราถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และไม่อายที่จะเอ่ยคำขอบคุณ ให้ใครสักคน เพราะตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่า คำขอบคุณมีผลคุณค่าต่อผู้รับมากกว่าผู้ให้
ขอบคุณนะครับ เด็กๆ ครู โรงเรียนวัดกุ่มแต้ ที่สอนผมให้เข้าใจกระจ่างยิ่งขึ้น ด้วยคำว่า
ขอชื่นชมและร่วมขอบคุณการแบ่งปันนี้ค่ะ
ขอบคุณครับพี่นงนาท สนธิสุวรรณ และ อ.อนุ
สนใจร่วมบริจาคเพิ่มเติมได้นะครับ แอยากจะขอความอนุเคราะห์ งบสนับสนุนด้วยยิ่งดีครับ
กำลังวางโครงการ ระยะที่ 2 อยู่ครับ