บนเส้นทางเรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิต : สุจิน ร่วมขยาย


จึงคิดทำโครงงาน “ยิ้มทักทายบอกรักคนในครอบครัว” เป็นโครงงานที่ตนเองและคนในครอบครัวไม่เคยทำ คือคำว่า “บอกรักต่อหน้า” นั้นไม่เคยปฏิบัติ เพราะคิดว่ามันเขินไม่กล้าพูด แต่ตั้งแต่ทำโครงงานฉันเป็นต้นแบบบอกรักทุกคนในบ้าน เมื่อก่อนคิดว่าจะเขินแต่กลับว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว

 

ฉันชื่อ "นางสุจิน (อ่อนชุลี) ร่วมขยาย" เดิมเป็นเด็กจังหวัดพัทลุงโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่จังหวัดสงขลา ปัจจุบันพ่อ-แม่ไม่มีแล้วได้แต่งงานกับดาบตำรวจเตือนดี ร่วมขยาย เป็นข้าราชการที่มีเงินเดือนน้อยมีบุตรสองคน ชีวิตราชการย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆจนปี 2532 ลงตัวที่จังหวัดชุมพร ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 19 หมู่ที่ 1 ตำบลหินแก้ว อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ชีวิตที่เริ่มต้นจาก “0” โดยที่ไม่มีอะไรแต่ด้วยความพยายามของทั้งสองคนจนประสบผลสำเร็จขั้นหนึ่ง

ปัจจุบันได้ส่งลูกเรียนจนจบปริญญาทั้งสองคนซึ่งเป็นสิ่งที่มีความภูมิใจมาก เพราะตนเองทั้งสองคนไม่มีปัญญาเรียนสูง ๆ ได้ เมื่อมาอยู่บ้านสามีแล้วตนเองทำสวนก็ไม่เป็นแต่ก็ต้องสร้างสวนเพื่อความมั่นคงของชีวิตและครอบครัว ตอนนั้นไม่มีเงินพอที่จะซื้อสวนได้เพราะเรามีเงินพันแต่ราคาสวนราคาเป็นหมื่น เช่นในปัจจุบันเรามีเงินแสนแต่ราคาสวนเป็นล้าน ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องยอมเป็นหนี้เพื่อที่จะได้ทรัพย์สินที่ต้องการโดยที่ไม่คิดอะไร เป็นหนี้ก็ต้องยอมเพื่อได้ที่ต้องการให้ได้ แต่ตอนนั้นค่าใช้จ่ายไม่มากเท่าไรลูกทั้งสองคนยังเล็ก ๆ อยู่ จึงได้สวนจำนวนสี่ไร่กว่าตามต้องการ เมื่อซื้อแล้วต้องทิ้งไว้ก่อนเพราะเงินทุนทำสวนไม่มีต้องทำเองทั้งสองคนไม่ต้องจ้างทำแบบสวนผสมผสาน จนในปัจจุบันยังทำแบบลงทุนน้อย ๆ และปลูกพืชที่กินได้เกือบทุกชนิดรอบ ๆ บ้านมีผักสวนครัวที่เก็บกินได้โดยที่ไม่ต้องซื้อ

ในเมื่อเข้ามาอยู่ชุมชนเขาแล้วคิดว่าจะตอบแทนบุญคุณชุมชนเขาได้อย่างไร จึงได้รับการคัดเลือกเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เริ่มเข้ามาเป็นเมื่อปี 49 และได้รับการคัดเลือกเป็นประธานของหมู่บ้าน ต่อมาได้รับการคัดเลือกเป็นรองประธานตำบล มีหน้าที่ทุกเรื่องที่คุณสุจินไม่มีชื่อ มีบทบาทกับเขาไปทุกเรื่อง

ฉันเริ่มการเป็นนักศึกษาของ ม.ชีวิต เมื่อได้รับทราบข่าวเร่งด่วนจากคุณหมอวิโรจน์ เกษแดงสกลวุฒิ หัวหน้าสถานีอนามัยตำบลหินแก้ว คุณหมอบอกว่าใครต้องการเรียนต่อบ้างมีการยกมือกันทั้งหมดสิบคนพร้อมทั้งคุณหมอด้วย ฉันคิดอยู่ว่ามหาวิทยาลัยชื่อ ม.ชีวิต และไปสมัครก็วันสุดท้ายที่สมัครด้วย ต้องไปสมัครที่สาธารณสุขอำเภอท่าแซะ สมัครแล้วยังไม่แน่ใจอีกเพราะที่ทางบ้านไม่ทราบว่าฉันจะเรียนต่อ คิดอีกทีถ้าสมัครแล้วจะไม่เรียนก็คงไม่เป็นไร กลับมาบ้านบอกลูกและสามีว่าจะเรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่บอกไปก็กลัวว่าจะไม่ยอมให้ฉันเรียน แต่ลูกกลับบอกว่า “แม่จะทำอะไรก็ทำไป แม่ทำให้ลูกมามากแล้ว” ส่วนสามีไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ว่าจะเรียนทันเขาได้หรือเพราะทิ้งการเรียนมานานแล้ว ฉันคิดอยู่เช่นกันแต่ก็ต้องลองดู

พอถึงวันที่เปิดเรียนและรายงานตัวก็ไปกันทั้งสิบคน คุณหมอแนะนำให้รู้จัก “พี่เป้า” ไม่ทราบว่าเป็นใครแต่มีความประทับใจตั้งแต่วันแรกที่เห็น มีความอ่อนน้อมต่อทุกคนที่เข้ามาเรียนใน ม.ชีวิต พวกเราที่มาใหม่จับกลุ่มกันทั้งสิบคน เรียนบ้าง หลับกันไปบ้างสนุกดี พอถึงตอนนี้คิดถึงเพื่อนรุ่นแรก ๆ ทุกคนสรุปว่าวันแรก ๆ เรียนกันไม่รู้เรื่องเลย แต่คิดอยู่เสมอว่าตนเองต้องทำได้และทำให้ดีที่สุด (อุปนิสัยแบบ “หมี” ในวิชาการรู้จักตนเอง)

ในการเรียนทุกครั้งดีมากทุกคนมีการแลกเปลี่ยนกัน เรียนไปเลยติดใจอยากมาเรียนทุกครั้งที่มีเรียน ตนเองตั้งความหวังว่าถ้าไม่จำเป็นจะไม่ขาดเรียนเด็ดขาดและมีความตั้งใจสูงมาก ถึงแม้ว่าจะต้องเรียนเตรียมความพร้อมมาเกือบสองปีโดยที่ไม่ทราบว่าจะจบเมื่อไรแต่ก็สนุกในการเรียน เมื่อถึงวันที่มีเรียนฉันจะมีความกระตือรือร้นที่จะไปเจอเพื่อน ๆ

จากการเรียน ม.ชีวิต ฉันคิดว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตัวเอง จากความคิดที่จะต้องได้ก็ต้องได้โดยที่ไม่คิดมาก ถ้าไม่มีเงินจะซื้อก็ต้องเป็นหนี้ แต่ในปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นต้องมีการคิดถามความคิดเห็นจากคนในบ้าน ถ้าคนในบ้านว่าไม่ต้องก็คือไม่ซื้อ นิสัยอารมณ์ก็ไม่เป็นคนใจร้อนค่อย ๆ ปรับอารมณ์ลงได้ ที่สุดมาคิดว่าตนเองทำได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความคิดและจิตใจ ถ้าเราบังคับได้ก็ดีไป ถ้ายังใช้ความคิดเดิมจะเป็นเช่นไรไม่อยากคิด ปัจจุบันจะกินอะไรจะซื้ออะไรคิดแล้วคิดอีก หรือปลูกเองกินเอง (ปลูกสิ่งที่บ้านเราปลูกได้) รอบ ๆ บ้าน มีสิ่งที่เก็บกินได้หมดรอบบ้านหรือผักสวนครัวรั้วกินได้

จากการเริ่มเรียนครั้งแรกฉันได้จดลงในสมุดบันทึกเมื่อวันที่ 17 กันยายน 52 มีการจัดการเวลา การจัดการวางแผนชีวิต การวางเป้าหมายชีวิต เศรษฐกิจพอเพียง ผู้ที่เข้าเรียนทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับฉัน และได้แก้ไขจุดที่ยังไม่ทำ เช่น การปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพของตนเองในครอบครัว จึงคิดทำโครงงาน “ยิ้มทักทายบอกรักคนในครอบครัว”  เป็นโครงงานที่ตนเองและคนในครอบครัวไม่เคยทำ คือคำว่า “บอกรักต่อหน้า” นั้นไม่เคยปฏิบัติ เพราะคิดว่ามันเขินไม่กล้าพูด แต่ตั้งแต่ทำโครงงานฉันเป็นต้นแบบบอกรักทุกคนในบ้าน เมื่อก่อนคิดว่าจะเขินแต่กลับว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว

อีกวิชาที่เรียนคือวิชาภูมิปัญญา ทำให้เราทราบว่ารากเหง้าของฉันมาจากที่ใดบ้าง และพอสอบถามญาติพี่น้องก็ปรากฏว่ามีญาติพี่น้องที่ไม่รู้จักอีกมากมาย นี่คืออีกแบบอย่างหนึ่งที่ดีสำหรับการเรียน ม.ชีวิต ทำให้รู้จักตนเอง มีความเปลี่ยนแปลงของตนเองในระหว่าการดำเนินชีวิต มีการสังเกตการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้านของผู้ที่ได้เรียน หรือแนะนำให้คนที่เรารักและนับถือ ฝึกหัดการสังเกตตนเอง หรือให้คนรอบข้างคอยตักเตือนเมื่อเรามีความเผลอตัวไป เพราะตัวเราเองจะมองไม่เห็นตัวเรานอกจากผู้อื่นมองให้และคอยตักเตือน

จากการทำโครงงานฉันมีคำขวัญของตนเองว่า “ต้องบอกรักเขาก่อนที่เขาจะบอกรักเรา” .

หมายเลขบันทึก: 477979เขียนเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2012 09:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 16:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สุจิน ร่วมขยาย
เริ่มเป้าหมาย ชีวิต ที่ฐาน "0"
พยายาม ฟันฝ่า พร้อมเกื้อกูล
ส่งลูกเรียน เพิ่มพูน ถึงปริญญา

ชีวิต พึ่งตนเอง
ทำจนเก่ง สวนผสม เศรษฐกิจ
ทำกินไป ซื้อไป ไม่ค่อยคิด
จิตอยากได้ อยากมี หาเงินซื้อ

ร่วมงาน สาธารณะ
เสียสละ ตอบแทน เพื่อท้องถิ่น
อสม. เป็นได้ ทำจนชิน
เพื่อนในถิ่น ยอมรับ เป็นประธาน

ร่วมเรียน ม.ชีวิต
ก่อประกาย ความคิด ชีวิตฉัน
ดีขึ้นได้ อีกมาก หลากอนันต์
ยิ้มบอกรัก ฉันทำได้ ไม่ยากเกิน.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท