หมู่บ้านคนหาย


หมู่บ้านคนหาย

หมู่บ้านคนหาย

     หมู่บ้านคนหาย คนกว่า 1,200 คนพร้อมใจกันละทิ้งที่อยู่อาศัย อันตรธานหายตัวไปจากหมู่บ้านอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่ได้นำอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการใช้ในการยังชีพท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บติดตัวไปด้วยแม้แต่ชิ้นเดียว

                    


             ทะเลสาบอันจิคูนิ (Anjikuni) ทางตอนเหนือประเทศแคนาดา เป็นหนึ่งในถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเอสกิโม อาชีพหลักของพวกเขาคือทำการประมง ในช่วงทศวรรษที่ 1920 ชุมชนแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่ราว 1,200-2,000 คน ซึ่งนับได้ว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่พอสมควรสำหรับดินแดนที่ห่างไกลความเจริญ

                           


              พรานที่ออกล่าสัตว์ในเขตนี้รู้จักหมู่บ้านเอสกิโมริมทะเลสาบอันจิคูนิเป็นอย่างดี พวกเขามักจะแวะมาขอที่พักพิงอาศัยหลบพายุหิมะและอากาศที่หนาวเหน็บอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์หลายสิบองศา เช่นเดียวกันกับโจ ลาเบลล์ (Joe Labelle) พรานล่าตัวเฟอร์ที่เคยแวะมาพึ่งพาอาศัยชาวเอสกิโมอยู่บ่อยๆ หากแต่ว่าวันนี้เขาต้องเผชิญกับปริศนาสยองขวัญที่ทำให้ชุมชนแห่งนี้กลับกลายเป็นหมู่บ้านร้างไปอย่างไร้ร่องรอย


ทุกที่มีแต่ความว่างเปล่า

             เดือนพฤศจิกายน 1930 โจ ลาเบลล์ พรานชาวแคนาเดียน ออกเดินทางดักสัตว์จับตัวเฟอร์ในเขตขั้วโลกเหนืออย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ อากาศภายนอกที่หนาวเหน็บท่ามกลางลมหิมะและก้อนน้ำแข็งทำให้โจตัดสินใจมุ่งหน้าตรงไปยังหมู่บ้านชาวเอสกิโมริมทะเลสาบอันจิคูนิ

                             


              โจเคยมาขอพึ่งพาอาศัยคนในหมู่บ้านแห่งนี้ เขารู้จักชุมชนแห่งนี้พอสมควร มันเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่โอบอ้อมอารีต่อคนแปลกหน้า เมื่อเดินทางมาใกล้กับทางเข้าหมู่บ้าน โจตะโกนทักทายอย่างคุ้นเคยโดยคาดหวังว่าชาวเอสกิโมจะส่งเสียงตอบรับด้วยน้ำเสียงไมตรีอย่างที่เคย หากแต่วันนี้เสียงที่เขาได้ยินกลับกลายเป็นเสียงสะท้อนของเขาเอง หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเงียบสงัดเป็นป่าช้าไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย

              สัญชาตญาณนายพรานบ่งบอกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปรกติอย่างมหันต์ บางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับชุมชนแห่งนี้ แสงจันทร์ยามค่ำ**censor**ส่องลงบนเพิงที่พักอาศัยชาวเอสกิโมเกิดเป็นภาพเงาทึมๆ แต่ไม่มีวี่แววการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขลากเลื่อนเห่าหอนเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนแปลกหน้า

                              


              ชาวเอสกิโมมักจะติดเตาไฟหุงหาอาหารและสร้างความอบอุ่นภายในที่พักในยามหัวค่ำ แต่โจไม่เห็นกลุ่มควันล่องลอยออกมาจากบ้านหลังใดเลย หรือว่าไม่ใช่? เมื่อเดินเข้ามาในหมู่บ้าน โจได้ยินเสียงฟืนปะทุดังมาออกจากบ้านหลังหนึ่ง


คนหายแต่ของใช้อยู่ครบ

              โจข่มใจไม่ให้ตื่นเต้นตกใจ เขาค่อยๆก้าวตรงไปยังต้นเสียงโดยหวังว่าจะได้พบกับผู้คน แต่ภายในบ้านกลับว่างเปล่า มีแต่เพียงเนื้อตุ๋นที่แห้งงวดจนไหม้ติดหม้ออยู่บนเตาไฟ สิ่งนี้บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านจากออกไปโดยกะทันหันขณะที่กำลังทำอาหารอยู่

               คนกว่า 1,200 คนหรืออาจมากถึง 2,000 คนละทิ้งหมู่บ้านไปเฉยๆได้อย่างไร เรือคายัคถูกคลื่นซัดกระทบตลิ่งจนแตกเสียหายยับเยิน ชุมชนขนาดย่อมๆกลายสภาพเป็นหมู่บ้านร้างอย่างฉับพลัน โจเป็นพรานเดี่ยว เร่ร่อนล่าสัตว์ตามลำพังในที่กันดารเขาจึงไม่ใช่คนจะหวาดกลัวอะไรง่ายๆ แต่สิ่งที่พบเจอในหมู่บ้านเอสกิโมทำให้ถึงกับขนหัวลุกตั้งชัน

                              


               โจตัดสินใจตรวจค้นในบ้านทุกหลังโดยหวังว่าจะพบเงื่อนงำว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ชาวเอสกิโมพร้อมใจกันละทิ้งหมู่บ้าน หากแต่ว่าสิ่งเขาพบกลับยิ่งทำให้มันเป็นปริศนามากยิ่งขึ้น บ้านทุกหลังยังมีเสบียงอาหารกักตุนซึ่งหมายความว่าพวกเขายังสามารถดำรงชีวิตได้โดยไม่เดือดร้อน โกดังเก็บปลาส่วนกลางของหมู่บ้านก็ยังคงมีปลาจำนวนมาก

               อาวุธปืนใช้ในการล่าสัตว์ยังคงพิงอยู่ข้างกำแพงซึ่งผิดปรกติวิสัยชาวเอสกิโมเป็นอย่างมาก บริเวณขั้วโลกเหนือมีสัตว์ร้ายนานาชนิด ชาวเอสกิโมจะไม่ออกเดินทางโดยไม่นำปืนไรเฟิลติดตัวไปด้วย โจยังพบเสื้อหนังแมวน้ำที่เย็บไม่เสร็จยังมีเข็มปักติดอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง เหมือนประหนึ่งว่าเจ้าของได้ละทิ้งบ้านไปกะทันหันขณะที่กำลังเย็บเสื้อ


ปราศจากร่องรอย

               โจเดินตรวจรอบๆหมู่บ้านเพื่อค้นหารอยเท้าหรือร่องรอยที่ชาวเอสกิโมใช้ในการเดินทางออกจากหมู่บ้าน พวกเขาไม่ได้ไปทางเรืออย่างแน่นอนเพราะเรือถูกปล่อยให้คลื่นซัดกระแทกอยู่บนริมตลิ่ง แต่ก็ไม่พบร่องรอยการอพยพของคนจำนวนมากแต่อย่างใด เหมือนกับว่าพวกเขาหายไปในอากาศเฉยๆ

               แม้อากาศภายนอกจะหนาวเหน็บสักเพียงไรก็ตาม แต่โจก็ไม่ขอเสี่ยงพักอาศัยในหมู่บ้านที่น่าขวัญสยองเช่นนี้ หาไม่เช่นนั้นแล้วเขาอาจจะพบคำตอบที่ไม่ต้องการและพบจุดจบแบบเดียวกันกับชาวเอสกิโม โจรีบออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานีโทรเลขที่อยู่ห่างออกไปหลายไมล์

              แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักเพียงไหนก็ตาม โจก็กระเสือกกระสนจนมาถึงสถานีโทรเลข เขารีบแจ้งข่าวไปยังสถานีตำรวจม้าแคนาดา ผู้รับผิดชอบดูแลพื้นที่ในเขตกันดารแห่งนี้

               


              หลังจากได้รับแจ้งเรื่องเช้าวันรุ่งขึ้นตำรวจม้าออกเดินทางมายังทะเลสาบอันจิคูนิ ระหว่างทางกองตำรวจม้าแวะพักม้าที่บ้านของพรานล่าสัตว์ อาร์มันด์ ลอเรนต์ (Armand Laurent) ตำรวจถือโอกาสสอบถามว่าอาร์มันด์สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติใดๆในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาหรือไม่

              อาร์มันด์ยอมรับว่าเขาเห็นวัตถุประหลาดบนท้องฟ้าเมื่อ 2-3 วันก่อน มันเปลี่ยนรูปร่างจากทรงกระบอกเป็นคล้ายหัวกระสุนและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปทางหมู่บ้านชาวเอสกิโมริมทะเลสาบอันจิคูนิ


มีแต่ปริศนา

             เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้านเอสกิโม ตำรวจม้ากระจายกำลังกันออกตรวจค้นหมู่บ้านและบริวณโดยรอบ ตำรวจพบว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่นายพรานโจได้ให้การเอาไว้ อีกทั้งหลุมฝังศพของชาวเอสกิโมนอกหมู่บ้านถูกขุดโดยเครื่องมือชนิดใดชนิดหนึ่ง ศพของผู้ที่อยู่ในหลุมได้หายไป

             เพื่อให้คดีนี้เป็นปริศนามากยิ่งขึ้นไปอีก ตำรวจพบศพสุนัขลากเลื่อน 7 ตัวจมอยู่ในกองหิมะทับถมหนาเกือบ 12 ฟุต พวกมันเสียชีวิตเพราะอดอาหาร สาเหตุที่มันอดอาหารเพราะพวกมันถูกล่ามเอาไว้กับต้นไม้ท้ายหมู่บ้าน ทำให้สุนัขเหล่านี้ไม่สามารถเคลื่อนตัวไปหาอาหารที่มีอยู่มากมายในหมู่บ้านได้

                                


             สิ่งที่เป็นปริศนาก็คือ สุนัขลากเลื่อนเป็นพาหนะที่สำคัญที่สุดในการเดินทางบนหิมะ แต่ทำไมชาวเอสกิโมจึงละทิ้งจากหมู่บ้านไปโดยไม่นำสุนัขลากเลื่อนไปด้วย แถมยังผูกพวกมันไว้กับต้นไม้จนกระทั่งอดอาหารตาย

             ความหนาของหิมะที่ทับถมบาร่างสุนัขและหลักฐานอื่นๆที่พบในหมู่บ้านทำให้ตำรวจเชื่อว่าชาวเอสกิโมละทิ้งหมู่บ้านไปเมื่อราว 2 เดือนก่อน แต่ข้อสันนิษฐานนี้ขัดแย้งกับเตาไฟที่ยังคุกรุ่นภายในบ้านหลังหนึ่งเมื่อวันที่โจเดินทางมาพบก่อนจะแจ้งตำรวจ

             ระหว่างที่ตำรวจทำการสืบสวนอยู่นั้นก็เกิดประกายแสงสีน้ำเงินขึ้นบนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้าน มันไม่ใช่แสงออโรร่าอย่างที่พวกเขาเคยเห็น แต่เป็นอะไรที่แตกต่างออกไปซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นแสงอะไร?            


            เรื่องราวที่เกิดขึ้นกลายเป็นข่าวใหญ่ในแคนาดา หนังสือพิมพ์ Le Pas, Manitoba ตีพิมพ์ข่าวเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1930 แต่ภาพประกอบนั้นได้ใช้ภาพถ่ายจากสต็อกของหมู่บ้านเอสกิโมเมื่อปี 1909 ซึ่งเป็นรูปแบบการทำข่าวปรกติของหนังสือพิมพ์ในยุคสมัยนั้น อีกทั้งหนังสือพิมพ์ Halifax Herald ก็ได้ส่งนักข่าวของตัวเองไปทำเดียวกันนี้และลงตีพิมพ์ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 1930


            ไม่นานมานี้กองตำรวจม้าแคนาดาออกมาปฏิเสธว่าเรื่องราวของหมู่บ้านเอสกิโมริมทะเลสาบอันจิคูนิเป็นเพียงแค่นิยาย โดยอ้างถึงบทความของแฟรงค์ เอ็ดเวิร์ด (Frank Edwards) ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร Stranger than Science เมื่อปี 1959 แต่ข้ออ้างนี้ขัดแย้งกับข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์แคนาดาเมื่อปี 1930 ดังนั้น การหายตัวไปของชาวแอสกิโมจึงยังคงเป็นปริศนามีเงื่อนงำมาจนถึงทุกวันนี้

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 344 วันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 หน้า 36 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์ อิศเรศ
คำสำคัญ (Tags): #ร้อยเอ็ด10
หมายเลขบันทึก: 476990เขียนเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2012 08:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 03:34 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีค่ะIco64 แวะมาทักทายมาอ่านเรื่องราวปริศนา...หันไปถามคนใกล้ตัว...เขาบอกว่าแคนาดามีเรื่องราวปริศนาแปลกๆมากมาย...เพราะพื้นที่กว้างใหญ่มาก...ไม่สามารถตามไปหาข้อเท็จจริงได้...ทุกวันนี้ ใครอยากเห็นแสงเหนือ หรือ ออโรร่า ก็สามารถดูได้ตลอดทั้งปีจากทางทิศเหนือ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท