เมื่อพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง พุทธบริษัท 4 คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา ได้เข้ามามีส่วนร่วมต่อพุทธศาสนาเชิงรุกเป็นจำนวนมาก เป็นที่น่าสังเกตว่าเพศชายเข้ามามีส่วนร่วมต่อพุทธศาสนาเชิงรุกมากกว่าเพศหญิง จากการรวบรวมชีวประวัติแห่งการบรรลุธรรม 75 อุบาสก พุทธสาวกอดีตชาติของพุทธสาวกในสมัยพุทธกาล (ธรรมสภา 2551 : คำอนุโมทนา) พบว่าพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์จำนวน 80 รูป ขณะที่ภิกษุณีอรหันต์มีจำนวน 40 รูป ประชาชนฝ่ายอุบาสกมีจำนวน 75 คน ขณะที่ประชาชนฝ่ายอุบาสิกาจำนวน 46 คน เป็นต้น นั้นก็หมายความว่าเพศชายมีส่วนร่วมต่อพุทธศาสนาเชิงรุกมากกว่าเพศหญิง อันอาจหมายถึงเพศชายมีความคล่องตัวมากกว่าในการเดินทางไปมา การอยู่ในสถานที่สงัดมากกว่าเพศหญิง
นอกจากนี้แล้วในยุคหลังพุทธกาล แม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่มีพุทธบริษัท 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบาสกอุบาสิกาได้เข้ามามีต่อพุทธศาสนาเชิงรุกอย่างมาก ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในยุคต่อมาคือพระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ ผลงานที่เด่น ๆ ของพระองค์คือทรงรับเป็นผู้อุปถัมภ์การทำสังคายนาครั้งที่ 1 ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปเพียง 3 เดือน ทำให้พระมหากัสสปเถระเข้ามาเป็นประธาน โดยมีพระอุบาลีเถระเป็นผู้ตอบพระวินัย และพระอานนท์เถระเป็นผู้ตอบพระธรรม ณ ถ้ำสัตตบรรณ โดยมีสาเหตุมาจากหลังพุทธปรินิพพาน การคณะสงฆ์ก็ขาดความเป็นเอกภาพ ไร้ผู้นำทางจิตวิญญาณ ต่างฝ่ายก็ต่างถือทิฐิและมีความเห็นที่แตกต่างกัน ส่วนพระมหากัสสปเถระก็ไม่สามารถเป็นผู้นำที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้
ต่อมามีอุบาสกอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ได้เป็นอัครศาสนูปถัมภ์ พระองค์ทรงมีอุปการคุณอย่างยิ่งใหญ่ต่อพระพุทธศาสนา ในฐานนะพระองค์ได้เข้ามามีส่วนร่วมต่อพระพุทธศาสนาเชิงรุกจนทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างไร้ขีดจำกัด และที่สำคัญได้จุดประกายพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นในแดนสุวรรณภูมิอันมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพินทุสารและพระนางศิริธัมมา เมื่อทรงเจริญวัยแล้วพระราชบิดาทรงแต่งตั้งให้เป็นอุปราชครองแคว้นอวันตี มีกรุงอุชเชนนี้เป็นเมืองหลวง พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ทรงเป็นผู้มีชัยชนะธรรมาวุธ เมื่อทรงสดับเรื่องอัปปมาทธรรม (ความไม่ประมาทในธรรม) จากสามเณรชื่อว่านิโครธก็ทรงเลื่อมใสศรัทธา จนพระองค์ทรงสร้งวัดและพระเจดีย์ และทรงถวายมหาทานอย่างยิ่งใหญ่ทั้งหมดที่อโศการามมหาวิหาร ทรงทราบว่าคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีมากถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ จึงดำริจะบูชาพระธรรมด้วยการสร้างวิหารเจดีย์ไว้ในนครต่าง ๆ ให้ครบจำนวน 84,000 พระธรรมขันธ์ จำนวน 84,000 แห่งทั่วชมพูทวีป
พระเจ้าอโศกมหาราช (พระธรรมปิฎก ป.อ. ปยุตฺโต 2544 : 7-10) ทรงสร้างมหาวิหารในปาตลีบุตรชื่ออโศการาม ทั้งนี้ทรงมอบภารกิจในการดำเนินการก่อสร้างให้กับพระอินทคุตตเถระ โดยใช้เวลา 3 ปีและทรงเป็นธุระในการทรงจัดหาพระบรมสารีริกธาตุของพระบรมศาสดาไปบรรจุตามวิหารและพระเจดีย์ต่าง ๆ เมื่อคราวที่จะสมโภชทรงโปรดให้ประชาชนทั้งหมด สมาทานศีล 8 นับว่าเป็นการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาด้วยปัจจัยของทายกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และที่สำคัญทรงโปรดให้พระราชโอรสคือพระมหินท์และพระราชธิดาคือพระนางสังฆมิตตาผนวชในพระพุทธศาสนา ต่อมาได้เป็นพระธรรมทูตที่เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนา หลังจากผนวชแล้ว พระมหินท์เถระ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ในสำนักของพระอุปัชฌาย์คือพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้เรียนเถรวาททั้งหมดพร้อมทั้งอรรถกถาจบภายใน 3 พรรษาได้เป็นปาโมกข์ (หัวหน้า) ของภิกษุประมาณ 1,000 รูป
พระเจ้าอโศกทรงตั้งเภสัชนิธิถวายสงฆ์ ทรงรับสั่งให้สร้างถังน้ำขนาดใหญ่ไว้ทีประตูนครทั้ง 4 ทิศบรรจุเภสัชอันเป็นโอสถตามพระวินัยทีทรงบัญญัติให้เต็มเพื่อถวายแก่สงฆ์ผู้เดินทางมาจากทิศทั้งสี่เวลานั้นมหาชนนำเครื่องบรรณาการมาถวายแก่พระนิโครธเถระวันละ 1 แสนพระเจ้าอโศกทรงถวายแก่พระสงฆ์ทุกวันวันละ 5 แสนทรงบูชาพุทธเจดีย์วันละ 1 แสน ทรงบูชาพระธรรมวันละ 1 แสน เพื่อประโยชน์ 4 ของภิกษุผู้พหูสูตวันละ 1 แสน เพื่อประโยชน์แก่เภสัชของภิกษุผู้อาพาธ 1 แสน ลาภและสักการะจึงเกิดขึ้นจำนวนมากในพระศาสนา
พระเจ้าอโศกได้ให้ความอุปถัมภ์โดยทรงจัดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ขึ้นในปี พ.ศ. 236 ณ วัดอโศการาม นครปาฏลีบุตร แคว้นมคธ (ปัจจุบันคือ เมืองปัตนะ เมืองหลวงของรัฐพิหาร) ทรงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน พระองค์ทรงครองราชย์สมบัติอยู่ 37 ปีในตอนปลายรัชกาล มหาชนต่างขนานนามพระองค์ว่า พระเจ้าธรรมาโศกราช
การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อพุทธศาสนาเชิงรุกของมหาอุบาสกอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ทรงอุปถัมภ์การทำสังคายนาครั้งที่ 3 การทำสังคายนาครั้งนี้พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน และพระองค์ทรงมีแนวคิดในการส่งพระธรรมทูตไปประกาศพระศาสนา เพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาในนานาอารยประเทศ โดยคัดเลือกพระภิกษุสงฆ์ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เป็นหัวหน้าสมณทูตเพื่อออกประกาศพุทธศาสนาให้มีรัศมีครอบคลุมชมพูทวีปเท่าที่จะสามารถกระทำได้แห่งยุคสมัย จำนวน 9 สายได้แก่ (กรุณา กุศลาสัย อ้างในปรีชา ช้างขวัญยืน.2542 : 134-135)
สายที่ 1 นำโดยพระมัชฌันติกเถระ เพื่อออกไปประกาศพุทธศาสนาที่แคว้นกัษมีร์และคานธาระ (ปัจจุบันคือแคว้นแคชเมียร์อินเดียตอนเหนือและอัฟกานิสถาน)
สายที่ 2 นำโดยพระมหาเทวะ เพื่อออกไปประกาศพุทธศาสนาที่แคว้นมหึสกะ (ปัจจุบันคือ แคว้นมัทราส ทางตอนใต้ของอินเดีย)
สายที่ 3 นำโดยพระรักขิตเถระ เพื่อออกไปประกาศพุทธศาสนาที่แคว้นวนวาสี (ปัจจุบันคือจังหวัดกรรนาฏ ทางใต้ของอินเดีย)
สายที่ 4 นำโดยพระธัมมรักขิตเถระ เพื่อออกไปประกาศพุทธศาสนาที่แคว้นอปรันตะ (ปัจจุบันคือ คุชราฎ หรือเมืองบอมเบย์)
สายที่ 5 นำโดยพระมหาธัมมรักขิตเถระ เพื่อออกไปประกาศพุทธศาสนาที่แคว้นมหารัฐ (ปัจจุบันคือ รัฐมหาราษฎร์ ทางตะวันตกของอินเดีย)
สายที่ 6 นำโดยพระมหารักขิตเถระ เพื่อออกไปประกาศพุทธศาสนาที่แคว้นโยนกประเทศหรือยวนอิทธิพลของกรีก (ปัจจุบันคือ เขตบากเตรียในเปอร์เซีย)
สายที่ 7 นำโดยพระมัชฌิมเถระ เพื่อออกไปประกาศพุทธศาสนาที่หิมวันตประเทศ (ปัจจุบันคือแถบประเทศเนปาล)
สายที่ 8 นำโดยพระโสณเถระกับพระอุตตรเถระ พระเถระสองพี่น้อง เพื่อออกไปประกาศพุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิ (ปัจจุบันคือดินแดนไทย มอญ พม่า ลาวและกัมพูชา)
สายที่ 9 นำโดยพระมหินทเถระ พระอุตติยเถระ พระสมพลเถระ พระอิฏฐิยเถระและพระภัททสาลเถระ เพื่อออกไปประกาศพุทธศาสนาที่ลังกาทวีป (ปัจจุบันคือ ประเทศศรีลังกา)
ดังนั้น พระนักเผยแผ่เชิงรุกทั้ง 9 สายจึงออกไปเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุกตามนโยบายของพระเจ้าอโศกมหาราช และผลการส่งพระสมณฑูตออกไปครั้งนี้ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อพุทธศาสนาเชิงรุกทั้งในระดับบนและระดับล่าง ตลอดจนถึงการที่พุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในดินแดนต่าง ๆ และขยายกว้างขวางออกไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งสายที่เข้าสู่สุวรรณภูมิที่ทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในดินแดนของประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชาขณะนี้
จึงสามารถสรุปได้ว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อพุทธศาสนาเชิงรุก มีมาตั้งแต่ยุคต้นพุทธกาล ที่มีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมต่อกระบวนการทำงานพุทธศาสนาเชิงรุก ในรูปของพุทธบริษัทสี่อย่างเข้มแข็ง แม้ในยุคหลังพุทธกาลก็ยังมีส่วนร่วมของประชาชนต่อพุทธศาสนาเชิงรุกอย่างต่อเนื่องกันมายาวนานไม่ขาดสาย พอจะสรุปได้ดังนี้
การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อสถานการณ์เชิงรุกยุคต้นพุทธกาล
ในยุคนี้มีส่วนร่วมของประชาชนอย่างมาก โดยที่พระพุทธเจ้าทรงใช้แนวทางการเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุกในทุกระดับ รวม 4 ระดับประกอบด้วย
1) ระดับผู้นำทางการเมืองการปกครองคือกษัตริย์ อย่างพระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น
2) ระดับผู้นำทางจิตวิญญาณคือนักบวชเจ้าลัทธิ อย่างชฎิลสามพี่น้อง เป็นต้น
3) ระดับผู้นำทางด้านเศรษฐกิจคือคหบดีหรือชนชั้นกลาง อย่างยสกุลบุตร อนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น และ
4) ระดับรากหญ้า อย่างประชาชนทั่วไป เป็นต้น
นับเป็นสุดยอดทางยุทธศาสตร์การเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุกของพุทธศาสนาในยุคต้นพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงได้บุคคลเหล่านี้เข้ามายอมรับนับถือพุทธศาสนาแล้ว ย่อมเป็นพลังผลักดันให้คนในระดับล่างเข้ามาสนใจศึกษาและมีส่วนร่วมต่อพุทธศาสนาตามกระแสหลัก ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อสถานการณ์เชิงรุกหลังยุคพุทธกาล
ในยุคนี้เป็นยุคที่พุทธศาสนาได้คนเก่ง-ดีมีความสามารถสูงเข้ามาสู่องค์กรพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 5 ประการ ดังนี้
1) พระภิกษุที่เก่งดีมีวิสัยทัศน์ รวมทั้งภิกษุณีด้วยที่ได้ตระหนักถึงปัญหาในอนาคตที่จะต้องเกิดขึ้น เช่น พระเถระชื่อว่ามหากัสสปะ ที่ได้คิดริเริ่มทำสังคายนาอันเป็นการรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่และง่ายต่อการเผยแผ่เชิงรุก
2) อุบาสกที่ดีมีความสามารถสูง รวมทั้งอุบาสิกาด้วยที่ได้ช่วยอุปถัมภ์บำรุงพุทธศาสนา ในด้านต่าง ๆ เช่น พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างพระสถูปเจดีย์มากถึง 84,000 องค์ จนพระพุทธศาสนาก้าวสู่เชิงรุกไปทั่วโลกอย่างมั่นคง
3) การทำสังคายนา ในหลายครั้ง หลายยุคสมัย หลายประเทศได้รับการอุปถัมภ์จากผู้นำทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนถึงประชาชนเป็นอย่างดี ทำให้เกิดพุทธศาสนาเชิงรุกในระดับที่กว้างไกลจนไร้ขอบเขตมาจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน
4) การที่มีนโยบาย ส่งพระธรรมทูต 9 สายของพระเจ้าอโศกมหาราช ทำให้พระพุทธศาสนาหยั่งลึกลงในดินแดนต่าง ๆ ทั้งซีกโลกตะวันตกและตะวันออกอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา
5) ระบบการปกครองที่มีอุปัชฌาย์-อันเตวาสิก และภันเต-อาวุโส ทำให้พระสงฆ์อยู่ด้วยกันได้โดยไม่แตกแยกอย่างรุนแรงเหมือนศาสนาต่าง ๆ
ไม่มีความเห็น