ชีวิตต้องสู้ บุญช่วย มีจิต
ถนนชีวิตไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ !!
ไม่ทราบว่าใครพูดประโยคนี้ แต่มันเข้ากับชีวิตของผมเสียเหลือเกิน
ไม่เคยได้อะไรมาอย่างง่าย ๆ ต้องออกแรง ต้องใช้ความพยายาม ต้องต่อสู้ ต้องอดทน จึงจะได้มา
พ.ศ. 2509 เมื่อสอบบาลีสนามหลวงเสร็จแล้ว ก็พากันลงไปกรุงเทพ ฯ อีกครั้งหนึ่ง
จากหนองคายไปโดยไม่ล่ำลาใคร แม้แต่เทพธิดาในดวงใจคนนั้น !!
และไม่ได้หวนกลับไปเยี่ยมอีกเลยแม้จนทุกวันนี้ !!
คราวนี้ไปพักอยู่ที่วัดแก้วแจ่มฟ้า บางรัก กับสามเณรบุญเรือง แสนนาม เพื่อนเก่าจากวัดศรีสุมังคล์ ออกตระเวนหาวัดอยู่เดือนกว่า ๆ ยังไม่มีวัดให้อยู่ ต้องกลับมาคัดเลือกทหารก่อน กลับลงไปไปอีกที [1]
คราวนี้ได้รับความเมตตาจากท่านพระครูวินัยศาสน์โกศล วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ช่วยฝากให้ โดยฝากสามเณรนุศิษย์ที่วัดยานนาวา และฝากเรากับพระครูวรวัฒน์วิศาล เจ้าอาวาสวัดสุคันธาราม ดุสิต รู้สึกดีใจมาก ถึงแม้ไม่รู้จักใครสักคนและได้อยู่ห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ ใต้ถุนกุฏิอาจารย์เปล่ง ทั้งร้อน ทั้งยุงชุม ก็ตาม
แต่ตั้งใจว่าจะใช้ที่นี่อาศัยเล่าเรียนเพื่ออนาคตของตัวเอง
อยู่ได้ไม่นานก็ได้รับข่าวดีที่ไม่คาดคิด ก็คือ
สอบเปรียญธรรมสามประโยคได้ที่จังหวัดหนองคาย !!
ที่ดีใจมากเพราะมีสามเณรเพียงรูปเดียวของจังหวัดที่สอบได้ในปีนั้น จากจำนวนผู้เข้าสอบนับร้อย ดีใจที่สุดในชีวิต อา ! เราได้ชื่อว่า
“ มหา”
นำหน้าชื่อ ซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของผู้ที่บวชเรียนทุกคน ปีนั้นก็ไปเรียนเปรียญธรรมสี่ประโยคที่สำนักเรียนวัดเบญจมบพิตร การสอนก็ไม่เป็นที่พอใจเท่าใดนัก ทีแรกคิดว่า สำนักเรียนในกรุงเทพฯจะสอนเข้ม สอนดี เอาเข้าจริงก็ปล่อยให้ผู้เรียนต้องขวนขวายดูหนังสือเองเช่นเคย
พ.ศ. 2510 ผลสอบเปรียญธรรมสี่ประโยคก็ผ่านได้อย่างเหลือเชื่ออีกเช่นกัน
อา !! ชีวิตเริ่มพบความสว่างไสว มีความหวังมากขึ้น เมื่อสอบได้เปรียญสี่ มีสิทธิ์เรียนมหาจุฬา ฯ ได้ จึงพยามไปเข้าอบรมพื้นฐานก่อนเข้าเรียน เนื่องจากว่าเราไม่มีพื้นฐานทางวิชาสามัญเลย เรียนประถมมาได้ก็อย่างกระท่อนกระแท่นตามที่เล่าแล้ว เมื่อมาบวชก็เรียนแต่ธรรมวินัยและบาลี
ดังนั้น พอไปเรียนวิชาสามัญจึงตามเพื่อนไม่ค่อยทัน ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ที่แบ่งเป็นเลข พีช และ เรขา ที่เราเบื่อการพิสูจน์มาก ไม่ต้องพูดถึงภาษาอังกฤษที่ได้เรียนกับพระที่สกลนครเพียงอ่าน เอ บี ซี ดี ได้เท่านั้น ผลการสอบคัดเข้าเรียนจึงออกมาได้อันดับที่ 100 พอดี ได้อยู่ห้อง 2 เป็นรูปสุดท้าย เขารับห้องละ 50 รูป 3 ห้องจำนวน 150 รูป ก็เป็นที่พอใจและดีใจมากที่สอบเข้าได้
แต่การเรียนมหาจุฬา ฯ นั้น ผิดกฎของวัดสุคันธ์ เพราะเขาห้ามเรียนวิชาทางโลก ( สามัญ )เด็ดขาด ด้วยเหตุผลที่รู้ ๆ กันอยู่[2] เมื่อขอโดยตรงไม่ได้ก็ต้องแอบ (หนี )ไปเรียน ซึ่งมีรุ่นพี่หลายท่านประพฤติเช่นเดียวกัน ไม่งั้นก็ไม่ได้เรียน และได้ไปสมัครสอบเทียบความรู้วุฒิ ป.7 ของกระทรวงศึกษาธิการไว้ด้วย เนื่องจากมหาจุฬา ฯ นั้น กระทรวง ฯ ยังไม่รับรองวุฒิ
พ.ศ. 2511 เป็นปีที่ผิดหวังในชีวิตการเรียน เพราะสอบเปรียญธรรมห้าประโยคไม่ได้ ด้วยว่าเรียนหนักไปทางมหาจุฬา ฯ แต่ก็ไม่เสียใจอะไรมาก ระยะนี้นับว่าเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว อารมณ์หนุ่มก็ย่อมว้าวุ่น สับสน เพ้อฝัน และเกิดอารมณ์ขัดแย้งภายในตัวเอง อาการหนักถึงขนาดต้องไปพบหมอ ทั้ง รพ.สงฆ์ รพ.ศิริราช รพ.วชิระ เรื่องที่คิดหนักก็คือเรื่องอนาคต ทั้งการเรียนการเป็นอยู่ การอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เนื่องจากเลยบวชมานานแล้ว แต่ยังหาเจ้าภาพไม่ได้
เจ้าภาพน่ะมีเยอะ แต่อยากได้เจ้าภาพที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เหมือน
เพื่อน ๆ หลายท่าน[3] ไม่ใช่บวชให้แล้วก็แล้วกันไป แต่จะหาเจ้าภาพที่ว่านี้ได้อย่างไร เราไม่รู้จักใครเลย สุดท้ายท่านมหาสมโพธิ จึงชักชวน จ.ส.ต.สนั่น ปิ่นงาม และพ่อค้าแม่ค้าอิฐที่ท่าวัดสุคันธ์อันมีเสี่ยกังเป็นต้น ร่วมกันเป็นเจ้าภาพสามัคคี จัดการอุปสมบทให้อย่างสมศักดิ์ศรี
แต่ไม่มีญาติพี่น้อง แม้แต่โยมพ่อมาร่วมแม้แต่คนเดียว ทำให้เวลาขานนาคถึงกับร้องไห้ด้วยความรันทดใจ การอุปสมบทก็มีท่านพระครูวรวัฒน์วิศาล ( จี่ ) เจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์เปล่ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาชุบ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
พ.ศ. 2512 เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไป มีคนรู้จักมากขึ้น การเรียนสูงขึ้น ชื่อเสียงก็ตามมา โดยเฉพาะเมื่อกลับไปบ้านโพนนาดี จะมีญาติโยมให้ความนับถือมาก โดยเฉพาะสีกาสาว ๆ ติดกันมาก เราก็ใช้ชีวิตหนุ่มอย่างโลดโผน แต่ไม่มีอะไรเกินขอบเขต
พ.ศ. 2513 สอบเปรียญธรรมห้าประโยคได้ ดีใจมากเพราะจะได้สิทธิ์สอบชุดครู พก.ศ. ถ้ามีใบตราตั้งครูสอนปริยัติธรรม จึงพยายามวิ่งเต้นหาใบตราตั้งครูสอนปริยัติธรรมให้ได้ ในที่สุดได้ไปสอนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่วัดสุวรรณาราม บางกอกน้อย นำไปสมัครสอบวิชาชุด พก.ศ. และสอบได้ยกชุด ( 5 ชุด )ในปีเดียว ทั้ง ๆ ที่คนอื่นปีละชุดก็ยังไม่ได้ เพื่อน ๆ ทึ่งกันมาก เรียนไม่เก่ง แต่อาศัยดวง รู้สึกดีใจมากในวันดูผลสอบ
ดีใจจนมองเห็นใบอโศกยิ้มให้เลยทีเดียว !!
พ.ศ. 2514 เมื่อสอบ พก.ศ.ได้แล้ว ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น การเรียนที่มหาจุฬา ฯ ก็ได้เป็นนิสิตเรียนพุทธศาสตร์ปีที่ 1 สมความตั้งใจแล้ว ในช่วงซัมเมอร์แทนที่จะกลับไปใช้ชีวิตบ้านนอกเหมือนทุกปี
ได้สมัครเป็นพระธรรมจาริกไปสอนชาวเขา เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้ชีวิต เป็นรุ่นที่ 7 เลือกบ้านดอยผาผึ้ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ มีท่านมหาวีรชัย เป็นหัวหน้า มหาบุญเลื่อน ตุ๊ไล และตุ๊ฤทธิ์ เป็นเพื่อนร่วมทีม ปฏิบัติงานระหว่างเดือนมีนาคม เมษายน เพียงสองเดือนเท่านั้นเอง
แต่ด้วยการทุ่มเททำงานอย่างหนัก และพยายามเข้าถึงชาวบ้านอย่างเต็มที่ด้วยสไตล์
เข้าถึงไร่ ไปถึงบ้าน
ทำให้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สามารถ (เรียน) ใช้ภาษากระเหรี่ยงสื่อความกับพวกเขาได้ และชนะใจชาวบ้าน เป็นที่รักของทุกคน โดยเฉพาะเด็ก ๆ และวัยรุ่น (สาว) จะเห็นได้จากวันอำลา มาส่งที่ทางรถซึ่งเดินเท้ามาประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง มากันทั้งหมู่บ้าน และร้องห่มร้องไห้อาลัยกันทุกคน เป็นภาพที่ลืมไม่ลงและติดตามาจนทุกวันนี้
โดยเฉพาะ หน่อเจอเลอ และ หน่อโมะโละ ผู้สุดสวยประจำหมู่บ้าน ที่ให้ความสนิทสนมเป็นพิเศษ !!!
[1] ดูความฝันที่เป็นจริง
[2] มีความคิดในหมู่พระเก่า ๆ ว่า ถ้าให้เรียนทางโลกแล้ว จะปกครองยาก และเรียนแล้วสึก อีกอย่างก็เห็นว่า มหาจุฬาฯ เป็นของพระพิมลธรรม ( อาจ อาสภเถร ) เมื่อไม่ชอบพระพิมลธรรมก็พยายามขัดขวางไม่ให้ลูกศิษย์ไปเรียน
[3] หลายท่านได้โยมอุปัฏฐากดี อุปสมบทให้แล้วก็ส่งเรียนต่อจนถึงปริญญาโท ปริญญาเอก ถึงเมืองนอกเมืองนาก็มี
ไม่มีความเห็น