จากคำถามที่คุณศุภลักษณ์ หิริวัฒนวงศ์ได้ฝากไว้ว่า
หลังจากที่ไปทั้งขบทั้งคิด ตามภาษาคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง KM และตามภาษาของคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้าน KM เพราะผมไม่เคยเรียน KM อย่างเป็นจริงเป็นจัง ทำมาบ้างแบบ Snake Snake Fish Fish ทำแบบไม่รู้จักเลยว่าคุณเอื้อเป็นอย่างไร คุณอำนวยเป็นอย่างไร คุณกิจหมายถึงอะไร ทำไมต้องมีคุณลิขิตด้วย R2R เป็นอย่างไร
แต่สิ่งที่เคยทำมาทั้งหมด ผมคิดอยู่อย่างเดียวว่า "จะให้เขาได้ประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร"
ได้ประโยชน์โดยที่ไม่ต้องลงทุนมากมาย โดยเฉพาะ "เงิน"
ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือถ้าไม่ใช้อะไรเลยได้ก็ยิ่งดี
ได้ประโยชน์แบบพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืนและสถิตอยู่กับเขาตลอดไป
ใช้ใจแลกใจ ทำกันมาด้วยใจโดยแท้
ผมขออนุญาตตอบแบบไม่ตอบ ตามภาษาคนรู้น้อยตามนี้ครับ
KM อยู่ที่ใจ และทำไม KM ต้องอยู่ที่ใจด้วยล่ะ
อยู่ที่อื่นไม่ได้เหรอ ที่หัว ที่มือ ที่กระดาษ ในแฟ้ม ในคอมพิวเตอร์
ความรู้มีอยู่มากมายหลายร้อยที่ แล้วทำไม KM ต้องอยู่ที่ใจ
ประเด็นแรก "ใจเราคิดว่ามีความรู้หรือเปล่า"
เรามีความรู้
เขามีความรู้
เราและเขามีความรู้หรือเปล่า ถ้าใจเราบอกว่ามีความรู้ เราก็จะจัดการความรู้นั้นได้
ประเด็นที่สอง "ใจเราอยากทำหรือเปล่า"
เพราะ KM คือการปฏิบัติ เราอยากปฏิบัติไหม อยากปฏิบัติการจัดการความรู้ไหม
ความรู้ที่เรามีอยู่เราอยากจัดการไหม “ความรู้แบบท่วมหัวเอาตัวไม่รอด”
แล้วใจเราอยากรอดไหม หรือเอาเวลาไปนอน ไปพักผ่อน ไปกินเหล้าดีกว่า
ในชีวิตเรามีงานตั้งเยอะแยะ งานหลัก งานลอง ทฤษฎีต่าง ๆ ก็มากมาย แล้วใจเราล่ะ “อยากจัดการความรู้ไหม"
เราอยากทำอย่างมีความรู้เหมือนกับการมี “ฉันทะ” ในการทำงาน ใจเราสุขไหมที่ได้ทำ
หน่วยงานเขาให้ทำ KM
สำนักงานประกันคุณภาพให้ทำ KM
ทำเท่าที่เขียน และเขียนเท่าที่ทำ ถ้าใจเราบอกแค่นั้นก็จบ เขาสั่งเราทำ เขาสั่งเราไม่ทำ ทำตอนที่เขาตรวจ และคนตรวจก็ตรวจเท่าที่เขาทำ
ทำด้วยมือ ทำด้วยปาก แต่ไม่ได้ทำด้วยใจ ทำไปก็ไม่ยั่งยืน
ทำด้วยใจ ทำด้วยใจรัก ทำด้วยใจรักที่จะทำ ทำด้วยใจรักที่รักจะทำ นั่นคือ KM ที่สมบูรณ์
จัดการใจตัวเองให้ได้ก่อน ถึงจะจัดการความรู้ได้
ประเด็นที่สาม "เรามีใจหรือไม่"
ถ้ามีใจตอนไหน เวลาใด เราก็จัดการความรู้ได้
แค่ตอนที่เราหายใจเข้าไป เราลองใช้ใจสัมผัสดูสิว่า หัวใจที่เต้นอยู่นั้นเป็นอย่างไร
“ยังมีใจอยู่ไหม ใจยังเต้นอยู่หรือเปล่า”
ใจมันยังรู้เลยว่าหน้าที่ของมันคือต้องเต้น แล้วเรามีใจไว้แล้วเราไม่เต้น จะมีใจไว้ทำไม
จะเต้นซ้าย เต้นขวา เต้นแร๊พ เต้นแทงโก รุมบ้า บอสซาโนว่า ก็สุดแล้วแต่ใจอยากจะเต้น
ฉันรักแจ๊ส จะให้ไปเต้นดิสโก้ได้ไหม ต้องถามว่า เรามีใจกับดิสโก้มั๊ย ถ้ามีใจก็ไปกันได้
ประเด็นที่สี่ "เราเปิดใจไหม"
งานเก่าก็เยอะแยะอยู่แล้ว จะเอางานใหม่ (KM) มาเพิ่มอีกทำไม งานเก่าชั้นก็ทำดีอยู่แล้ว สี่มันสไตล์ชั้น แล้วชั้นต้องเชื่อในสิ่งที่คุณบอกด้วยเหรอ ชั้นดี ชั้นเก่ง ชั้นสุดยอดอยู่แล้ว
ป.ล. ถ้าเป็นอย่างนี้จบสิ้นกระบวนการ ทำไปก็ไลฟ์บอย
KM จะทำให้งานเราดีขึ้น เราทำงานง่ายขึ้น งานเรามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น เราทำ KM เถอะ พวกเรามาทำ KM กันเถอะ เปิดใจเราและเปิดใจเขา
ประเด็นที่ห้า "ยังมีหัวใจอยู่ไหม"
ลองย้อนกลับไปในอดีตดูว่า ประเทศชาติของเราต้องใช้เงินซื้อความรู้จากทั้งในประเทศและโดยเฉพาะต่างประเทศไปเท่าไหร่
ต้องเสียเงินพี่น้องชาวไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร มาเพื่อให้พวกเราได้เรียนรู้
ได้ไปอบรมสัมมนาในโรงแรมหรู กินอาหารดี ๆ นอนห้องพักสบาย ๆ เชิญวิทยากรนั่งเครื่องบินมาสอนเราอบรมเรา เซ็นต์ชื่อแกร็กนึงแล้วก็นั่งเครื่องบินกลับ "คุณจะทำได้หรือไม่ได้เรื่องของคุณ"
ไม่รู้ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยเรียนกันไปทำไม เรียนไปแล้วก็ต้องมาอบรมกันอีก ทำไมไม่อบรมกันให้เสร็จตั้งแต่ตอนอยู่ที่ในมหาวิทยาลัย เรียนไปเพื่อเอาปริญญาบัตร ตรี โท เอก เรียนไปก็ไม่เห็นได้ใช้อะไรเลย (อาจจะแรงไปหน่อยครับ ตามสไตล์กบฏทางวิชาการ)
การเรียนตอนนั้นประเทศชาติก็ต้องเสียเงินมากมายมหาศาลอยู่แล้วในการอุดหนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม
เรียนจบมาแล้วก็ต้องมาอบรมกันอีก สัมมนากันอีก เรียนเพิ่มเติมกันอีก “ยังมีหัวใจอยู่ไหม”
ความรู้ที่มีอยู่เดิมใช้แล้วบ้างไหม ความรู้ที่มีอยู่ใช้หมดหรือยัง เรียนใหม่ตลอด อบรมใหม่ตลอด
ทำไมถึงไม่เอาหัวใจมาจัดการความรู้เดิมมาใช้ให้มีประสิทธิภาพที่สุดก่อน ถ้าขาดอะไรแล้วค่อยจัดการความรู้เพิ่มเติม
มีหัวใจแห่งความเพียงพอและพอดี ตามคำปฏิญาณที่ว่า “รักพ่อ” ใส่เสื้อสีเหลือ ใส่สายรัดข้อมือเรารักพระเจ้าอยู่หัว "รักพ่อกันเถอะครับ"
ถ้าจัดการใจทั้ง 5 ข้อได้แล้ว
จะจัดการใจของเราเข้าสู่จุดสมดุลหรือจุดที่ดีที่สุดของความรู้ (Optimization)
จัดการความรู้เพื่อบริหารชีวิต บริหารกายและบริหารจิต จัดการให้ ให้มีกำลังเป็นฐานในการใช้ปัญญา
มีความเป็นมิตรไมตรี “คนใจดี”
ไว้วางใจ (Trust) เชื่อมั่นในองค์ความรู้และภูมิปัญญาของทุกสรรพสิ่งที่ร่วมกันเกิดขึ้นมาเป็นเราอยู่ทุกวันนี้
ไม่มีจิตคิดตำหนิ ดูถูก เหยียดยาม รับรู้และเข้าใจ ทำหน้าที่ไปด้วยใจ ที่เต็มปรี่ไปด้วยความกรุณาและมีมิตรไมตรีต่อความรู้จากทุก ๆ คน
การทำสิ่งใดให้ได้ผล ต้องเริ่มที่จิตใจของเราก่อน "จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว"
“จิตนี้เป็นประภัสสร แต่จิตนี้เศร้าหมองเพราะอุปกิเลส เป็นอาคันตุกะ จรเข้ามา”
(พุทธาสภิกขุ)
จิตที่สบายใจอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์ (The sound mind in the sound body) มีจิตที่สบายพึงพอใจที่ได้รู้ สุขที่ได้รู้ (Knowledge Pleasure)
มีใจมุ่งสู่ความรู้แต่เพียงพอดี (Optimal Knowledge) โดยมีสภาวะที่ให้เกิดความรู้ (สัปปายะ)
ตอนนี้คิดได้เพียง 5 ข้อครับคุณศุภลักษณ์
ถ้าท่านใดมีสิ่งใดเพิ่มเติมขอเชิญแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอดและเติมเต็มได้ "ตามใจ" เลยนะครับ
ขอให้พลังแห่ง KM สถิตอยู่ที่ใจทุกคนตลอดไปครับ
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ