ทุกคนมักจะได้ยินคำกล่าวว่า “ทำอะไรเล่นๆ มักจะได้เล่นๆ” เสมอ อันเป็นคำกล่าวตำหนิในทางที่ไม่ดี ซึ่งคำว่า “เล่น” ในการรับรู้ของคนทั่วไป โดยส่วนใหญ่เป็นความหมายในทางลบ คือมีความหมายในทางที่ไม่ดี เช่น ไม่ตั้งใจทำงาน ไม่เอาใจใส่ ไม่ให้ความสำคัญ ไร้สาระ เป็นต้น
วันนี้เป็นวันที่ผมว่างและได้หยิบเอาหนังสื่อที่เต็มไปด้วยฝุ่นมาปัดฝุ่น และเปิดดูข้างในซึ่งมีเนื้อหาทางด้านคติชนวิทยา การเปิดครั้งได้พบว่าในทางคติชนมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความคิดที่เป็นสากลอยู่ประการหนึ่ง คือเรื่องของ “คู่ตรงกันข้าม” (binary opposition) ของ F.de Saussure ที่มองว่าทุกสิ่งมีลักษณะของความเป็นคู่ตรงข้ามเสมอ
คำว่า “เล่น” จึงน่าจะมีความหมายในลักษณะของคู่ตรงข้ามเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ความหมายในทางลบ “เล่น” คือ กิจกรรมที่ทำเพื่อความสนุกสนาน เช่น เดินเล่น เที่ยวเล่น แต่ในขณะอีกด้านหนึ่งของคำว่า “เล่น” ยังมีความหมายถึงกิจกรรมที่เอาจริงเอาจัง ทุ่มเท เอาใจใส่เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ รอบรู้ เช่น นักเล่นปืน นักเล่นกล้วยไม้ นักเล่นพระเครื่อง เป็นต้น
ผมเคยจำได้ว่าเคยพบในตำราเล่มหนึ่งภายในห้องพักเล็กๆ ขอมผม ผมได้หยิบมาหลายเล่ม และก็พบเล่มที่ต้องการ จากการศึกษาเพิ่มเติมหนังสือ “สื่อบันเทิง : อำนาจแห่งความไร้สาระ” ของอาจารย์กาญจนา แก้วเทพและคณะ ในหน้า ๑๒ อาจารย์ได้อ้างถึงงานของปริตา ที่เสนอการเล่นในวัฒนธรรมไทย ๔ ประเภทคือ การเล่นของเด็ก การเล่นเกมและกีฬา การเล่นเชิงพิธีกรรมหรือการแสดง และการเล่นในสำนวนภาษา ซึ่งการเล่นแต่ละประเภทมีลักษณะเด่น ๆ เป็นองค์ประกอบดังนี้ เป็นกิจกรรมที่กระทำเพื่อความสนุกสนาน การสมมติไม่เอาจริงเอาจัง การกระทำด้วยความรู้สึกดึงดูดด้วยความลุ่มหลง และการมีความเชี่ยวชาญหรือชั้นเชิงในสิ่งที่ทำ
ด้วยเหตุนี้การกระทำที่มีคำว่า “เล่น” ประกอบอยู่จึงไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระ สิ่งที่ทำโดยไม่ตั้งใจ สิ่งที่ไม่มีคุณค่า สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เพราะการ “เล่น” บางครั้งมันคือการเอาจริง การทุ่มเท และการเอาใจใส่
ไม่มีความเห็น