.....จากการคลุกคลีพยาบาล-ฟื้นฟูกาย กำลังใจ ท่านพระสุพลตลอดเวลา 1ปี...
แต่เมื่อวันนี้ไม่มีท่านอยู่คนเคยดูแล(หมอน้อยกะหมอใหญ่)ได้แต่คุยกันถึงท่าน(เพราะคิดถึง)
.....หนึ่งในเรื่องที่คุยกันทบทวนย้อนหลังถึงท่านพระครูสุพลในวันนี้เกี่ยวกับโรงพยาบาล
หลักการปฏิบัติเกี่ยวกับผู้ป่วยของรพ.ต่างๆที่ได้ประสบพบผ่านกับการรักษาท่านพระครูฯ
...ท่านพระครูฯเริ่มเข้าการรักษา(นอน)ที่โรงพยาบาลประมาณปีพ.ศ.2551 ครั้งแรก
ที่โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพฯ(ด้วยความเป็นสงฆ์ จะให้ใครดูแลท่าน)รพ.-ระยะทาง ญาติ
อยู่ห่างไกลกัน การเดินทาง ค่าใช้จ่าย ภาระหน้าที่ของคนดูแลฯลฯ(ค่าใช้จ่ายมากกว่าค่ารักษา)
...หลานรัก(ลูกสาวของพี่ชายคนที่3ของท่านพระครูฯ นิมนต์ท่านไปพักรักษาที่บ้าน)อยู่บางแค
(คำถามที่ข้าพเจ้าเองได้ยินกับหูบ่อยๆ พระทำไมมาอยู่บ้าน?คำตอบ:อยู่วัดอยู่รพ.ใครจะดูแลท่านหละ)
จากเริ่มแรกที่อาการป่วยแค่ติดเชื้อธรรมดา(มะเร็ง)บำบัดรักษาด้วยสมุนไรและทำการคีโม
......อาการทำท่าจะฟื้นดีขึ้นมีความหวังกำลังใจดี แต่เมื่อคน(ไม่พายเอาเท้าลาน้ำ)ที่เมตตาอุปการะ
หวังฝากผีฝากไข้กลับใจเป็นคนดี(รู้ว่าเป็นคนเหลวไหลแต่ท่านก็เมตตาเพราะเป็นหลานชาย)
ไม่สนใจใยดีหวังแค่เพียงประโยชน์ที่จะได้รับ(วันใดที่ท่านไม่อยู่)ซ้ำยังสร้างเรื่องให้คนอื่น.
....สิ่งที่หวังสู่กำลังใจ(ใจ)ถดถอย(ปลง)ปล่อยวาง มีผลต่อร่างกายอาการของโรคหนักขึ้น.
ช่วงที่พักรักษาอยู่ทีบ้านพี่ชายที่บางแคด้านการรักษาเคมีบำบัดคือ รพ.หัวเฉียว (ทำการรักษาอยู่
ที่บางแคเกือบ2ปี) ด้วยอาการ(ร่างกาย)มีแต่ทรุดกับทรุด เพราะใจท่านไม่ฟื้น(ไม่ตอบสนอง)
(ใจไม่รับยาวิเศษแค่ไหนก็ไม่มีทางฟื้น) ด้วยอาการของท่าที่หนัก ค่าใช้จ่ายที่เริ่มบาน ที่สำคัญเวลาของ
ผู้ดูแลที่ต้องทำงาน(สอนหนังสือ)วิ่งซื้อของเข้าร้าน(ขายของ)แม่อายุ60กว่า )
จึงนิมนท่านมาอยู่ใกล้ชิดแพทย์ที่โรงพยาบาลกลาง กรุงเทพฯ(ตามสิทธิการรักษา30บาท)
.....แต่ด้วยอาการที่เริ่มหนักฉันอาหารตามปกติทางปากไม่ได้แพทย์จะต้องทำการเจาะคอเพื่อ
ถวายอาหาร.แต่ท่านพระครูฯไม่อนุญาติแต่ให้เปลี่ยนไปเจาะที่ท้องแทน(เครื่องมือไม่พร้อม)
...จึงได้ส่งท่านมาทำการเจาะใส่สายอาหารที่ รพ.วชิรพยาบาล กรุงเทพฯ{มีเพียงใบส่งต่อ
ไม่มีใบนัด-กลับจากแพทย์ที่รพ.กลาง )สิทธิการรักษาให้มาเพียงชั่วคราว
หมดอายของสิทธิที่ระบุวันที่ไว้ก็ต้องเดินทางไปต่ออายุที่รพ.กลาง.....}
......ทั้งวิ่งดูแลท่านพระครูฯ ทั้งสอนหนังสือ ทั้งวิ่งซื้อของเข้าร้าน ทั้งดูแลป๊ากับม๊าอายุ60กว่าๆ
ด้วยวัย34ปี ของหลานสาวท่านพระครูฯ ข้าพเจ้าขอชื่นชมจริงๆแต่คงเพราะสุดกำลังแรง
....จึงได้ติดต่อมาที่ลุงใหญ่ รศ.ดร.ประจิต มหาหิง(พี่ชายคนโต)จึงได้ทราบเรื่องการอาพาธ
ด้วยวัย71ปี(ลุงใหญ่)กับการเดินทางไปกทม.ดูอาการของท่านพระครูฯจึงได้ชวนคุณโอภาส
ซึ่งเป็นญาติลูกผู้น้องที่สนิทกันดีกับลุงใหญและท่านพระครูฯรวมถึงหลานที่ดูแลท่านพระครูฯ
ตั้งใจจะรับท่านมาอยู่ที่ขอนแก่นและปรึกษากันไว้จะนิมนต์ท่านมาพักที่ อุฑยานผักหวานป่า
.....(หลังจากเจาะท้องใส่สายอาหารที่วชิรพยาบาลเสร็จแพทย์ที่ รพ.วชิรได้ทำการ
เริ่มคลอสการรักษาเคมีบำบัดฉายรังษี หลังจากตรวจวินิจฉัยโรคและดูสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ที่นั่งไม่ได้ เดินไม่ได้ ใส่แพลมเพอริ์ส พูดไม่ออกเสลดปิดที่คอ เดินทางบ่อยๆอาการคงทรุด
พร้อมกับแจ้งว่า สิทธิการรักษา30บาท สามารถโอนย้ายได้จากระบบฐานข้อมูลระหว่างรพ.)...
.....ในการฉายรังษีต้องทำติดต่อกัน(เดือนละครั้งหลายวัน) ติดต่อกันหลายเดือนต่อคลอส
หลังจากฉายแสงเสร็จ3-4วันก็ต้องนำท่านขึ้นมาที่ขอนแก่น(อยู่ได้แค่สิทธิการรักษาตามวัน
ที่แพทย์ รพ.กลางอนุญาติให้) หากจะนำท่านกลับไปพักรอที่รพ.กลาง ใคร?จะดูแลท่าน.
หากอยู่ต่อที่รพ.วชิร ก็ต้องจ่ายค่าพักรักษาค้างคืนรายวัน(ตามประเภทโรงพยาบาล)
จึงจำเป็นต้องนำท่านขึ้นมาที่ขอนแก่นและขอให้แพทย์ออกใบนัดให้แทน(เหมาะสมทุกฝ่าย)
....หลังจากที่เดินทางไปฉายรังษีตามใบนัดจากแพทย์3เดือนได้สังเกตเห็นสภาพร่างกาย
ที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางของท่านบวกกับการฉายรังษีที่ทำให้ร่างกายอ่อนล้า
กลับขอนแก่นก็ต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายกันใหม๋(ธรรมชาติบำบัด-สมุนไพร-อาหารเสริม-กำลังใจ)
พอร่างกายดีขึ้นก็ต้องเดินทางอีกแล้ว(ตามคลอสของแพทย์)พระอาพาธเองท่านคงทราบ
ร่างกายของท่านดี จึงจะไม่ยอมไปกทม.อีก(เหนื่อย)แต่ก็ได้ขอร้องท่านให้ไปฉายแสงอีกครั้ง
เป็นครั้งสุดท้าย และจะได้ไปดำเนินการขอโอนสิทธิการรักษาของท่านมาที่พร.น้ำพอง
ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่พักรักษาตัวของท่าน(จบคลอสหรือไม่ไม่สนแล้ว!ท่านจึงยอม)
.....ลงไปกทม.กลับพบปัญหา แต่เป็นปัญหาจากแพทย์และเอกสารไม่ใช่ปัญหาจากผู้ป่วย)
เมื่อไปดำเนินการติดต่อเพื่อขอโอนสิทธิบัตรทองกับทางรพ.กลาง ออกเดินทางจาก
พระประแดงแต่เช้าไปถึงรพ.กลาง11.00น บัตรคิวคนสุดท้าย
........(ด้วยหลักแนวทางการปฏิบัติสากล หรือ?).......
แพทย์จะให้นำตัวผู้ป่วยเดินทางมาหาเอกสาร(ทั้งที่แจ้งว่าผู้ป่วยเป็นพระและอาการหนักมาก)
แต่แพทย์ก็ยังยืนยันอำนาจ(จะให้ก็ได้-ไม่ให้ก็ได้) เงินของเรา(คำพูดจากปากของแพทย์)
พูดจบ ถอดเสื้อกาวเดินออกจากห้อง(ไปทานข้าว) ไม่สนใจคนที่นั่งฟังอยู่ตรงหน้า...
หมอใหญ่จำเป็น(ก็ของขึ้นสิคะ) กลับมาที่รพ.วชิร เล่าเรื่องราวการไปติดต่อ
ขอต่ออายุสิทธิพร้อมกับขอแจ้งย้ายโอนสิทธิ ที่รพ.กลาง ให้แพทย์ฟัง พร้อมกับระบุว่า
จะขอชำระค่าใช้จ่ายผู้ป่วยเองกี่บาทก็จะยอมจ่ายให้จบคลอสเดือนนี้แล้วจะนำท่าน
กลับขอนแก่น จะไม่มาฉายแสงอีกแล้ว(พร้อมกับตั้งธงกลับไปรพ.กลางอีกรอบในวันรุ่งขึ้น
พร้อมกับจะขอเข้าพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลาง) แพทย์ที่รพ.วชิร ท่านคงทราบ
อารมณ์ที่พวยพุ่งของญาติผู้ป่วย ท่านจึงได้โทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับแพทย์คนดังกล่าวรพ.กลาง
เจ้าหน้าที่ พยาบาลทุกฝ่ายช่วยกันเต็มที่เพื่อพระสงฆ์(จากเอกลักษณ์ที่สงบสำรวมของท่าน
จึงเป็นที่รักของเหล่าพยาบาล(นางฟ้า) เมื่อแพทย์ที่รพ.วชิร ประสานให้ทุกอย่างจึงออนไลน์
ผ่านทางคอมพิวเตอร์(ระบบฐานข้อมูล)จึงไม่ได้กลับไปที่รพ.กลางอีก....
.....ประสบการณ์เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่เข้าใจ แพทย์ จรรยาบัน (จิตสำนึก) อารมณ์ (ผู้หลง)
ชีวิตหรือเอกสารสิ่งใดสำคัญมาก่อน แนวทางหลักการปฎิบัติสากล หรือคน(หลง)กำหนดเอง......
.......ต้องให้ผู้ป่วยหนักเดินทางไปหาเอกสารหรือเอกสารเดินทางมาหาผู้ป่วยหนักแทน.......
แล้วเทคโนโลยี่สารสนเทศของเมืองหลวง(มีไว้ทำไม มีไปเพื่ออะไรกัน).............
...หลังจากที่เปิดดูvdoที่บันทึกภาพการละสังขารของท่านพระครูสุพล ได้เห็นการหลับสบายๆ
กับรอยยิ้มน้อยๆของท่าน.แม้นึกถึงเรื่องที่เคยเสีย(ความรู้สึก)แต่มันก็ผ่านมาและผ่านไปแล้ว....แล้วไป!
และจากประสบการณ์การดูแลท่านพระครูกับระยะเวลา1ปีกว่า ในสิ่งที่เน้นช่วยการฟื้นฟูท่านจากอาการที่
หนักเดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ ใส่ผ้าอ้อม พูดไม่ได้ ด้วยธรรมชาติบำบัด สมุนไพร ที่สำคัญเน้นใจกำลังใจธรรม
บำบัด ท่านสามารถ นั่งได้ พูดได้ เดินได้ เข้าห้องน้ำเองได้(หน้ามือกับหลังมือ)...สำคัญที่ใจ...
ขอบคุณค่ะ ได้เห็นอานิสงค์แห่งพลังใจที่ยิ่งใหญ่จริงๆค่ะ
ขอบพระคุณค่ะท่านนงนาท สนธิสุวรรณ ที่เข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจค่ะ...