ใจร้อน


โลกของเราร้อนขึ้นเพราะใจ

 

 

 

 

 

"เพื่อนทุกข์"

บทที่ ๕

ใจร้อน

 

          โลกของเราหมุนครบวาระเพียงรอบหนึ่งก็กินเวลาเข้าไปวันหนึ่ง  24 ชั่วโมงของโลกช่างรวดเร็ว แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่ไปเร็วกว่าโลกและอาจจะเร็วกว่าการโคจรของวัตถุในจักรวาลก็คือ “ใจ” ของเรานี้ 

          ใจของเราโคจรอย่างเร็วจนประมาณไม่ได้ มักหุนหัน  มักพลันแล่นไป จนแม้แต่กระทั่งผู้ครองใจนั้นมิทันจะได้ตั้งตัว ความคิดก็เตลิดเปิดเปิงหรือเปลี่ยนไปเสียแล้ว แต่ละคนก็ครองกันคนละใจ ในสังคมหนึ่งๆ จึงเป็นที่แห่งการโคจรของใจที่หุนหันเปลี่ยนแปลงนับพันล้านใจ ที่ล้วนแต่ไปได้ไวกว่าโลก  เช่นนี้ เราถึงทุกข์ร้อน สังคมของเราจึงทุกข์ร้อน เพราะไม่มีใครเลยที่จะรู้ว่า จิตใจของตนอยู่ ณ แหล่งใด  หรือแม้ว่ารู้   จิตใจที่ยึดเอาว่า เสถียรแล้ว มั่นคงแล้ว ไม่เปลี่ยนแล้วอย่างนี้ๆ ที่สุดแล้วก็สูญความเสถียรไปสิ้น  ที่เคยมั่นพร่ำในสัญญา จึงบิดพลิ้วเปลี่ยนแปลง ที่เคยร้องบ่นกู่ก้องว่า จะมั่นในเธอและฉันไปทุกชาติ ที่สุดก็เลือนหาย ดังเช่นไอหมอกที่อาจลงจัดบังตาในยามรุ่ง สุดท้ายแล้วก็เลือนหายไป ไม่เหลือไว้แม้แต่เค้าลางให้เห็น  ดังว่านี้ คงต้องยอมรับความจริงเสียก่อนว่า  เราทุกคนได้ครอบครองใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเสมอ

          เหตุที่ทำให้ใจนั้นวิ่งแล่น เตลิดเพริดออกไปสู่วงจรที่เรามิอาจควบคุม ก็อาจจะเป็นด้วยกรรมประการหนึ่ง แต่อีกประการนั้นก็คือ การที่เรานี้เอง ที่เป็นผู้ปรุงแต่งใจของเราให้เร่าร้อน  ใจของเราจึงเหมือนกับเตาที่ได้เติมเชื้อให้ร้อน ให้คุกรุ่นอยู่เสมอ หาได้หยุดพักแต่อย่างใดไม่  บ้างก็เอาใจไปจับกับวันเวลาที่ได้ผ่านมาแล้ว  เฝ้าฝันถึงรสหวานแห่งรักและความปรารถนาที่เคยลิ้มลอง หวนคิดถึงความรุ่งเรือง เกียรติและอำนาจที่ได้เฝ้าสั่งสม หลงละเมอไปกับความสำเร็จที่เคยทำได้ โดยมิได้คำนึงว่า  สิ่งนั้นหรือได้ผ่านไปแล้วมิใช่หรือนั่น  หากไม่เพ้อถึงความหลังดังว่า ก็ยังมีอีกพวกหนึ่งที่นำใจเตร็ดเตร่ไปยังกาลข้างหน้า  เฝ้าพะวงถึงความสำเร็จอันเรืองโรจน์  ว่าฉันผู้นี้ จะต้องเป็นยอดยิ่งแห่งหอคอย ฉันนี้ละจะครองไว้ซึ่งสมบัติและทรัพย์สินอันครองได้ยากในวันหนึ่ง  

          น่าสนใจไหมว่า พอกระพริบตาเบาๆ สักครั้งหนึ่ง อดีตและอนาคตของเราดังที่ว่ามา ก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว กลับหัวกลับหางไปเสียหมด  นี่เอง ใจจึงร้อน จึงเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ แล้วเราจะหวังในความไม่มั่นคงอย่างนี้ได้หรือ

          ใจที่ร้อน ย่อมนำโลกให้ร้อนด้วย  โลกจึงร้อนเพราะใจคนอย่างเราๆ นี้  เราใจร้อนที่ระบบการผลิตไม่อาจตอบสนองความต้องการของเรา เราจึงเสกสรรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่มีกำลังการผลิตสูงเกินกว่าที่ธรรมชาติจะยอมรับได้  เราใจร้อนที่จะต้องใช้ชีวิตโดยใช้พลังงานมหาศาล เราจึงสร้างพลังงานนิวเคลียร์ที่บั่นทอนโลกของเราเอง  เราใจร้อนที่จะใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อให้รับกับความไวว่องของใจ เราจึงขุดเจาะแหล่งพลังงานปิโตรเลียมใต้พิภพ สูบขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อทำผลิตภัณฑ์และเชื้อเพลิงต่างๆ  ด้วยเห็นว่าโลกนี้ใจบุญแต่เราก็หาได้กตเวทีทดแทนคุณไม่ อุปมาดั่ง  หญิงชราผู้บริจาคโลหิต แต่ผู้ที่ได้โลหิตจากเธอ มิได้คิดแม้แต่จะบริจาคโลหิตคืนแก่เธอยามที่เธอเจ็บไข้ลำบาก  เราใจร้อนอย่างนี้ ก็ถึงกาลที่โลกจะร้อนกับเราบ้าง นี่คือยุติธรรมของธรรมชาติ

          ทำอย่างไรเล่าใจจึงเย็น  จึงดับร้อนและดิ้นรนไปได้  การที่เราดีใจเกินเหตุนี่ก็ร้อน การที่เราเสียใจ ตกใจ ทุกข์ใจ หดหู่ใจนี่ก็ร้อน  ดูเหมือนว่าใจของเรานี้จะร้อนอยู่ตลอดเวลา  ที่จริงก็เป็นเช่นนั้น หากเรายังเวียนว่ายอยู่ในการเกิดดับ  ใจของเรานี้ต้องดิ้นรนไปทางใดทางหนึ่ง หากเราไม่เข้าใจวิธีการสร้างสมาธิและการหยุด เราก็ไม่อาจที่จะควบคุมใจเราได้ 

          สมาธิ หรือการกำหนดจิต ตั้งใจให้แน่แน่ว เป็นหลักการพื้นฐานของการควบคุมใจ แต่สิ่งที่อาจจะง่ายกว่าสมาธิก็คือ  การตระหนักรู้ในทันที เมื่อจิตหวั่นไหว เมื่อใจเกิดสั่นเพราะมีพลานุภาพบางประการมากระทบ จากนั้นจึง “หยุด” ใจของเราให้ชะงัก ให้หันกลับคืนสู่ปัจจุบัน  การตระหนักรู้ดังนี้ แท้จริงก็คือการมีสติ  นิ่งพิจารณาความเป็นไปของจิต ณ ปัจจุบัน  ตัวอย่างเช่น  ถ้ามีคนว่าเรา  ใจที่หุนหันของเราก็อาจจะเดือดดาลเป็นธรรมดา เช่นนี้  ใจของเราจะก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งความแค้น โดยที่เราไม่ทันจะควบคุมไว้  แต่หากรู้เช่นนี้แล้ว เมื่อได้รับฟังถ้อยคำที่ทำให้เราขุ่นมัว ให้บอกกับตนเองในทันทีนั้นว่า ความขุ่นมัวเกิดขึ้นแล้ว จากนั้นจึงพิจารณาอย่างเข้าใจว่า เป็นอย่างนี้หรือไฟโทสะ  ร้อนอย่างนี้เองหรือ อึดอัดอย่างนี้หรือ แค้นเคืองแบบนี้หรือ  แต่เสียใจด้วย เพราะร้อนแล้วไม่ทุกข์หรอก เราไม่เดือด ไม่ร้อนแม้แต่น้อย  เพราะคำว่ากล่าวนั้นเป็นแต่เพียงถ้อยคำที่ปราศจากเหตุผล เป็นแต่เพียงลมและเสียงที่ไร้ความหมาย กำหนดจิตเช่นนี้  คือพึงรีบหยุดยั้งใจไม่ให้ดื่มด่ำกับรสชาติแห่งความเจ็บปวด ใจดังนี้จะไม่ร้อน เป็นใจที่เย็นและเกษมสุขอยู่เสมอ 

          ลองใคร่ครวญถึงธรรมชาติดูบ้างก็ได้ว่า  ธรรมชาตินั้นมีทั้งร้อนและเย็นที่ผสมผสาน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปอย่างนี้ ไม่มีร้อนเสียหมด ไม่มีเย็นไปตลอด มีเที่ยงวันก็มีเที่ยงคืน น้ำแข็งมีละลายแต่ก็มีเพิ่มพูนงอกขึ้นใหม่  โดยธรรมวาระอย่างนี้  ใจของเราเองเดิมทีเดียวก็เข้าหลักนี้ด้วย เมื่อร้อนเร่าก็มีเย็นดับลงเป็นธรรมดา แต่ชีวิตในโลกปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นชีวิตที่ส่งเสริมให้ใจของเราร้อนขึ้น เร็วขึ้น ไม่ยั้งรั้งรออะไรไหนอื่น เช่นนี้ เราจึงเสียธรรมสภาวะเดิมแท้ของเราไป  ความเย็นใจไม่มาเยือนใจของเรานานแล้ว ใจของเราจึงร้อนรุ่ม โลกของเราจึงร้อนแรงขึ้นทุกทีๆ จนในที่สุด ใจที่ร้อนและโลกที่ร้อนก็จะเผาผลาญทุกอย่างให้สิ้นไปตามกัน

 

_________________________________

หมายเลขบันทึก: 468741เขียนเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2011 22:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 22:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท