ความรักลูกของพ่แม่สมัยใหม่


น่าคิดสะกิดใจ จาก "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"

 

 

เว็บเพื่อสังคม  http://www.nature-dhrama.com

               นำเสนอแนวคิดสำหรับสังคมยุคใหม่ที่ต้องเปลี่ยน

เล่นตลกกับเว็บ  คลิก "ค" ข้างล่าง พบอะไร ๆ อีกครับ

วามรักลูกของแม่สมัยใหม่

 


          วันนี้บังเอิญเห็นนักเรียนชั้นอนุบาล 3 ปัสสาวะรดกางเกง เด็กรุ่นนี้อายุย่างเข้า 6 ปี จากที่เห็นเหตุการณ์ถึงเกิดข้อคิดในเรื่องนี้ จะขอเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด เผื่อท่านทั้งหลายมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนผมบ้าง หรืออย่างน้อยก็คล้อยตามด้วยเหตุผลบ้างก็ยังดี

          เหตุการณ์เกิดขึ้นหน้าชั้นเรียนอนุบาล 3 มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นมือของเขาทั้งสองรีบปลดเข็ดขัดลูกเสือทันที วุ่นวายกับเรื่องนี้ประมาณ 5 นาที แต่ก็ยังไม่สำเร็จ จากนั้นเขาก็ใช้มือทั้งสองกดชายขอบกางเกงบริเวณเหนือหัวเข็มขัด เขาพยายามให้ขอบกางกางมันรูดต่ำลง เขาใช้เวลาประมาณ 2 นาที แต่ก็ยังไม่สำเร็จ จากนั้นก็เปลี่ยนใจมาปลดเข็มขัดเช่นครั้งแรก ช่วงนี้ใช้เวลาอีกประมาณ 1 นาที ก็ยังไม่สำเร็จ สังเกตสีหน้ารู้ว่าเขามีอาการหงุดหงิด สับสน วุ่นวายพอสมควร ตอนนี้เองผมพอจะนึกได้ว่า เด็กคนนี้คงจะปวดท้องปัสสาวะ

          จากสองวิธีการที่ไม่สำเร็จ เขาก็หาวิธีใหม่โดยการรูดซิบกางเกง สังเกตเห็นเขาปฏิบัติอย่างตั้งใจ ปรากฏว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เช่นกัน กว่าจะรูดซิบได้ต้องใช้เวลาประมาณ 2 นาทีเศษ ๆ

         คุณเอ๋ย .... เมื่อทำสำเร็จ ปัสสาวะก็ราดกางเกงเสียโชก นั่นเขาทำสำเร็จแล้ว ผมคิดเดาไปว่า ครั้งก่อน ๆ ที่เคยปัสสาวะในยามปกติ เขาน่าจะใช้วิธีถลกขากางเกง ครั้งนี้ไม่ทำอย่างนั้น อาจเป็นเพราะเจ็บปวดมาก ๆ คิดอะไรไม่ออก อาจทำด้วยสามัญสำนึกที่เคยเห็นเพื่อน ๆ เขาปลดหัวเข็มขัด หรือใช้วิธีรูดซิบตอนปัสสาวะ จึงทำอย่างนี้ไปด้วย ซึ่งตนเองไม่เคยได้ทำอย่างนี้มาก่อนเลย มันจึงเป็นเรื่องยาก

        เอาล่ะ ..เรื่องนั้นไม่สำคัญอะไร สำคัญตรงที่ทำไมเขาปลดเข็มขัดลูกเสือไม่ได้ ทำไมเขารูดซิบกางเกงแสนยากเต็มที อันที่จริงเด็กอายุ 6 ปี ควรจะทำสิ่งนี้ได้ และได้อย่างดีด้วย

        ปัญหาที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากพ่อแม่เลี้ยงลูกแบบโอ๋เกินไป เลยทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูก ไม่ได้ฝึกลูกให้ช่วยเหลือตัวเอง กลายเป็นเลี้ยงลูกไม่รู้จักโต คือช่วยตัวเองไม่ได้แม้สิ่งเล็กน้อยในกิจวัตรประจำวัน เช่นการแต่งกาย อย่างที่เห็นเป็นต้น

       พ่อแม่ของเด็กทุกวันนี้หลายคนคงแต่งกายให้ลูกก่อนมาโรงเรียน หลังเลิกเรียนก็คอยถอด คอยจัด คอยเก็บให้ ไม่มีโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ฝึกได้ทำด้วยตัวเอง แม้แต่ขณะแต่งกายก็ไม่เคยสอนเคยแนะว่า ถอดอย่างไร ใส่อย่างไร นี่ถ้าได้สอนให้ตอนนี้บ้างเด็กก็พอจะมีความรู้ พอมีความคิด ที่จะใช้แก้ปัญหาด้วนตนเองได้บ้าง เด็กอายุ 6 ปี หรือแม้แต่อายุต่ำกว่านี้ ก็อาจจะเรียนรู้ในเรื่องง่าย ๆ อย่างนี้ได้

        ตัวอย่างที่เล่ามานี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เกิดในชนบท ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่มีความใกล้ชิดลูกมากพอสมควร นี่ถ้าหากเป็นครอบครัวที่มีพี่เลี้ยงก็น่าจะมีปัญหามากว่านี้ เพราะพี่เลี้ยงโดยทั่ว ๆ ไป จะตามใจเด็กกว่าผู้เป็นพ่อแม่ การที่เด็กได้รับการตามใจมากเกินไปย่อมมีผลเสียกับตัวเด็กอย่างมาก

      เมื่อขั้นต้นพ่อแม่ หรือพี้เลี้ยงปฏิบัติกับเด็กอย่างนี้ ถามว่า.. มีหรือที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จัก ซักผ้า
รีดผ้า ล้างจาน หุงข้าว กวาดบ้านถูบ้าน จัดเก็บที่นอน หรืออื่น ๆ ที่เป็นงานช่วยเหลือเบา ๆ ในกิจวัตรประจำวัน ซึ่งเป็นงานที่เด็กสามารถจะทำได้ แน่นอนที่สุดพ่อแม่แบบนี้คงไม่เห็นความสำคัญที่จะฝึกฝนลูก ให้เป็นคนรักการทำงาน รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ สอนให้เห็นให้รู้ความเหน็ดเหนื่อย ฝึกให้เด็กรู้จักคิดรู้จักทำงาน หรืออะไรต่อมิอะไรในทำนองนี้ ทุกคนน่าจะยอมรับว่า เด็กปัจจุบันถูกปิดกั้นตรงนี้เสียส่วนมาก

       อันที่จริง เด็กควรจะได้รับการฝึกฝนงานในกิจวัตรประจำวันอย่างเต็มที่ หรือให้งานมอบหมายอื่น ๆ ที่หนักกว่านี้บ้างตามความเหมาะสมก็จะดียิ่งขึ้น

ขอยกกลอนสอนศิษย์ประกอบ


       ความลำบากตรากตรำสิ่งล้ำเลิศ
เป็นบ่อเกิดคุณธรรมเหนือคำสอน
ฝึกจิตใจสูงส่งตรงขั้นตอน
เปรียบอาภรณ์มีค่าน่านิยม

      ปรุงอาหารสมัยนั้นขั้นตอนยาก
ความลำบากสอนสิ่งดีมากมีถม
ยามก่อไฟกับฟืนฝืนอารมณ์
รบกับลมดับไฟไม่ได้ความ

      ต้องอดกลั้นอดทนจนไฟติด
รวมพลังจิตเพียรทำซ้ำสองสาม
คอยสุมไฟพัดเป่าเข้าชั่วยาม
ข้าวเม็ดงามใกล้สุกรุกไฟฟืน

      คอยเช็ดน้ำดงหม้อรอข้าวสุก
โยงข้าวรุกหอมหวนน่าชวนชื่น
สิ่งเรียนรู้แสนดีที่ยั่งยืน
ทุกวันคืนบ่มนิสัยให้สันดาน

       ต้องต้มแกงพะแนงผัดจัดการครบ
ทอดนึ่งอบครบเครื่องเรื่องคาวหวาน
สร้างนิสัยรับผิดชอบกอปรกิจงาน
เป็นพื้นฐานชีวิตลิขิตเรา

       ประสบการณ์ด้านอื่นหยิบยื่นให้
สร้างกายใจมีพลังดังขุนเขา
เด็กเจ็ดปีทำงานการหนักเบา
ตื่นแต่เช้าหุงหาข้าวปลาแกง

       เปิดเล้าเป็ดเล้าไก่เตรียมไล่ทุ่ง
พอใกล้รุ่งจูงควายไม่หน่ายแหนง
ทั้งกายใจหมั่นเพียรไม่เปลี่ยนแปลง
ดังหนึ่งแกล้งออกฤทธิ์ผิดธรรมดา

 

       เสื่อที่นอนหมอนมุ้งรุ่งเก็บจัด
ทำถนัดไม่เหนื่อยหนักแม้ซักผ้า
พ่อแม่ใช่คาดคั้นคอยบัญชา
ฤๅระอาเบื่อหน่ายทำได้ดี

       หากับข้าวปูปลาเวลาว่าง
รู้แนวทางเสาะแสวงแห่งวิถี
ภูมิปัญญาหลายหลากล้วนมากมี
หลายวิธีรับรู้จากปู่ตา

        เสาะพืชพันธุ์ผลไม้สารพัด
อีกทั้งสัตว์บกน้ำตามเสาะหา
เพียงเพื่อท้องเพื่อปากฝากชีวา
เก็บเกี่ยวมาแต่พอเพียงเลี้ยงครอบครัว

      ด้วยเหตุที่ผมเองเป็นคนรุ่นเก่า สภาพแวดล้อมก็ดี ความจำเป็นก็ดี ฝึกให้เรา เป็นคนแข็งแกร่ง รู้รับผิดชอบงาน มีความอดทน และเพียรพยายาม เป็นนิสัย เป็นสันดานติดตัวมาตั้งแต่วัยเด็ก

      ด้วยเหตุที่ผู้เขียนเป็นครูได้สัมผัสเด็ก ๆ มาหลายปี พอรู้ว่าเด็กในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นเด็กที่สอนยาก เป็นเด็กดื้อ ไม่เชื้อฟังคำสั่งสอน หรืออยู่ในโอวาทของครูบาอาจารย์ เป็นเด็กที่ไร้เหตุผล ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ไม่รับผิดชอบหน้าที่เท่าที่ควร สังเกตว่าคุณภาพในเรื่องดังกล่าวค่อย ๆ ตกต่ำลงเรื่อย ๆ ทุกปี ผมเองคอยสอบถามความรู้สึก ความคิดเห็นของเพื่อนครูเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนใหญ่มีความเห็นอย่างที่ผมกล่าวแทบทุกคน

       จากเหตุการณ์ที่เล่ามา จากสังเกต และจากการประมวลเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจากที่ประสบมา พอสรุปในส่วนหนึ่งว่า คุณภาพด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็กสมัยนี้ลดลง ทั้งนี้น่าจะเป็นเหตุหนึ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองเลี้ยงดูลูกแบบตามใจมากเกินไป ไม่เห็นความสำคัญที่จะคอยปลูกฝังนิสัย คุณธรรมด้านต่าง ๆ ให้เป็นพื้นฐานกับเด็กเมื่อตอนเล็ก ๆ เลย มันสายเสียแล้วเมื่อมาถึงโรงเรียน

       จากข้อคิดข้อเขียนที่นำเสนอ พ่อแม่ ผู้ปกครอง หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบทั้งหลาย ควรจะตระหนักและเห็นความสำคัญเรื่องนี้ให้มาก เพราะเยาวชนวันนี้คือผู้ใหญ่วันหน้า หากเยาวชนของชาติขาดซึ่งคุณภาพด้านต่าง ๆ แล้วผู้ใหญ่วันข้างหน้าล่ะ ...เป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าขบคิดอย่างมาก

หมายเลขบันทึก: 468399เขียนเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2011 10:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤษภาคม 2012 15:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีครับท่านอาจารย์

ผมเป็นคนหนึ่งครับที่รักลูกมาก ผมก็วิตกเหมือนกันครับว่าอาจเป็นแบบที่อาจารย์กล่าว ตอนนี้ก็ต้องมาปรับที่ตัวผมเองครับ โดยยึดหลักว่า สิ่งใดที่เป็นความสุขหากไม่เกินแก่กำลังเราให้เขาได้ เราก็จะให้ แต่สิ่งใดเกินกำลังก็ต้องบอกเขาด้วยความความจริง ในขณะที่สิ่งใดยังไม่เหมาะ ไม่ควรเวลาอันควร ถึงแม้จะเป็นความสุขของเขา ก็ต้องใช้การอธิบายให้เขาเข้าใจอย่างง่ายๆ เพราะผมคิดว่าการใช้เหตุผลช่วงวัยที่ยังเด็กเกินไปอาจยังไม่เหมาะนัก แล้วท้ายที่สุดเราเป็นฝ่ายเครียดเอง

บทเรียนที่เป็นประสบการณ์ตรงของผมอย่างหนึ่งก็คือ การสอนเขาด้วยสิ่งที่เราเป็น (สิ่งที่เป็นพฤติกรรม นิสัย ของเรา) ครั้งหนึ่งผมพยายามสอนให้เขาจัดเรียงรองเท้าที่กองอยู่หน้าบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่ได้ผลครับ จนเครียดแล้วเลิกสนใจเรื่องนี้ไป (แต่ผมจะเป็นคนจัดระเบียบรองเท้าอยู่เสมอ เวลาถอด เวลาวาง มันติดเป็นนิสัยผมแล้วครับ)วันหนึ่งเขาเดินมาถามผมว่า "คุณพ่อๆทำไมคุณพ่อต้องจัดรองเท้าให้เป็นระเบียบด้วยละคะ" เมื่อเขาถามจบผมรู้สึกงงเล็กน้อยว่าทำไมวันนี้เขาจึงมาถามผมเรื่องนี้ แต่สักพักผมก็เข้าใจครับว่าช่วงเวลานี้แหละเหมาะที่สุดเลยกับการติดตั้งสิ่งที่พึงประสงค์ให้เขา สั้นๆไม่ต้องยาว และผลที่ออกมาเกินคาดจริงๆ

แะนี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "การสอนจากสิ่งที่เราเป็น" ครับ

ขอบคุณในองค์ความรู้ที่ดีมากๆครับผม ผมจะนำองค์ความรู้นี้มาปรับใช้กับตนเองและต่อยอดองค์ความรู้ต่อไปครับ

สวัสดีครับ คุณธนากร ปัจจุบันเราสอนลูกผิด มีข้อคิดข้อเขียน เรื่อง "ผมสอนลูกผิด" เป็นข้อคิดอะไรทำนองนี้ คนรุ่นผมจะไม่สมใจเรื่องการสอนลูกได้เลยครับ จึงมีแรงผลักดันให้ข้อคิดในเรื่องนี้ครับ ของคุณมากครับ ในข้อมูล และความคิดเห็น

สวัสดีค่ะคุณครูประทีป

  • มีหลายอย่างมากที่คุณยายรับไม่ได้กับวัยรุ่นสมัยนี้ ทำยังไงผู้ปกครองถึงจะพูดคุยภาษาเดียวกันกับพวกเค๊าได้ เห็นใจผู้ปกครองและคุณครูด้วยค่ะ

สวีสดี คุณมนัสดา ขอบคุณข้อคิดและกำลังใจครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท