หลังจากที่ใช้ชีวิตแบบสบายเสียหลายวันกับการยืมรถมอเตอร์ไซด์ของน้องติ๊กมาใช้ขี่กลับหอตอนกลางคืนเวลาทำงานดึก ๆ
เมื่อคืนเป็นคืนแรกในรอบสัปดาห์ที่ได้เดินสูดอากาศอันแสนบริสุทธิ์ยามค่ำคืน
สูดลมหายใจยาว ๆ กับการเดินระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ช่างเป็นสิ่งวิเศษที่หาได้ใกล้ ๆ ตัวจริง ๆ ครับ
เดินไปคิดไป คิดถึงสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะแผนชีวิตและแผนการทำดุษฎีนิพนธ์ซึ่งจะเป็นภาระงานที่จะดึงเอาศักยภาพต่าง ๆ ของตนเองออกมาให้ได้มากที่สุด
ครั้นเมื่อกลับถึงหอพัก จัดการภารกิจส่วนตัวเสร็จก็ได้ล้มตัวลงนอน สิ่งวิเศษที่เกิดขึ้นตามมานั้นก็คือการได้คิดเกี่ยวกับความเป็นไปของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะความผิดพลาดของกระบวนการ PAR ที่เกิดขึ้น
เราทำอะไรตรงไหนผิดหรือพลาดไปนะ
เวลาผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีกับการนอนพลิกไปพลิกมา (กลิ้งไปกลิ้งมา) คำตอบนั้นก็เกิดขึ้นได้โดยบัดว่า
เราดันไปใช้เทคนิคทางด้าน “จิตวิทยาธุรกิจ” เข้ามาผนวกกับกระบวนการ PAR นี่เอง จึงทำให้กระบวนต้องล้มแบบไม่เป็นท่า เราก็เครียดคนอยู่ในกระบวนการก็เครียด
ความคิดนี้ผมได้แต่ใดมาย้อนกลับไปเมื่อคืน ก่อนที่จะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นก็ประมาณห้าทุ่มเศษ ๆ ผมได้เข้าไปอ่านบันทึกของ Dr.Ka-poom ซึ่งตอนนั้นอ่านได้ไม่ละเอียดเท่าใดนัก เพราะดวงตาเริ่มใกล้จะปิด แต่คำที่ติดอยู่ในหัวสมองที่นำมาคิดต่อในขณะนั้นก็คือคำว่า “พุทธิปัญญา”
หลังจากนั้นก่อนกลับบ้านก็ได้แวะเวียนไปเยี่ยมศูนย์รวมข้อมูลของตนเองเพื่อตรวจสอบถึงสิ่งต่าง ๆ ว่ามีเพื่อน ๆ พี่ท่านใดมาแสดงความคิดเห็นส่งท้ายก่อนที่ผมจะปิดเครื่องในคืนนี้หรือเปล่า
ผมก็ได้ไปพบกับ ข้อแสดงความคิดเห็นที่อ่านแม้เพียงบรรทัดแรกก็สะดุดกับคำที่ Dr.Ka-poom ให้พูดไว้ว่า
“ใช้การสนทนาธรรมเลยเหรอคะ”
ตอนนั้นเมื่ออ่านเสร็จก็ยังมิได้ตอบอะไรท่าน Dr.Ka-poom ไป เพราะรู้ว่าตอนนี้ร่างกายกับสมองเริ่มไม่ค่อยสัมพันธ์กันเท่าไหร่ จึงปิดเครื่องแล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวกลับ
พอกลับมา ก็คิดไปคิดมาอยู่หลายตลบว่าจะเปิดเครื่องตอบ Dr.Ka-poom ไปเลยดีไหม แต่ตอนนั้นก็ห้าทุ่มครึ่งแล้ว เครื่องก็ปิดแล้ว กลับหอเลยดีกว่า ผมก็เลยต้องค้างคำตอบไว้ตรงนั้นมิได้ตอบไปตอนนั้น
ซึ่งสิ่งที่อยากตอบ Dr.Ka-poom ก็คือ
ที่ใช้คำว่า “สนทนาธรรม” เพราะธรรมเป็นสิ่งที่ดีงามทำแล้วมีความสุข ดังนั้นการสนทนาเรื่องใด ๆ ก็ตามที่เป็นสิ่งดีงามทำแล้วมีความสุข ผมจึงขออนุญาตเรียกว่า “สนทนาธรรม”
ในช่วงของการเดินสูดอากาศกลับหอพัก คำถามเหล่านั้นโดยเฉพาะเรื่องของธรรมกับพุทธิปัญญา ก็วนเวียน อยู่ในสมองจนกระทั่งกลับมาล้มตัวลงนอนก็ยังเวียนว่ายอย่างไม่รู้จบ
จากคำตอบที่ค้างคาใจไม่ได้ตอบ ผนวกกับการที่ได้สติจากการสูดอากาศอันบริสุทธิ์ พอสิ่งต่าง ๆ นั้นมาถึงจุดสมดุลแห่งความคิดแล้วคำตอบนั้นก็ผุดขึ้นมาในทันใดว่า
ทำไมเราถึงไปเลือกใช้จิตวิทยาทางธุรกิจ แทนที่เราจะเลือกใช้หลักการทางพุทธธรรมหรือ “พุทธิจิตวิทยา” มากกว่า
เพราะที่เราเคยทำมาสำเร็จมาเมื่อก่อน เราก็ใช้หลักการทางพุทธธรรมเป็นฐานในการส่งเสริมจิตมาตลอด ทั้งในส่วนของสำนักงานจังหวัดก็ดี ในส่วนของสหกรณ์จังหวัดอุตรดิตถ์ก็ดี หรืออย่างยิ่งกับท่าสักก็ดี เราก็นำแนวทางของท่านพุทธทาส และแนวทางของท่านพระธรรมปิฎกมาใช้ตลอด และก็ได้ผลตลอดเช่นเดียวกัน เปลี่ยนปุ๊บ ผิดปั๊บ เวลาที่ทำอะไรผิด สิ่งผิดจะสอนเราเสมอว่าสิ่งที่นั้นคืออะไรและสิ่งที่ได้จากสิ่งที่ผิดสอนเรานั้นก็คือ “ปัญญา” นั่นเอง
บทเรียนครั้งนี้จึงสอนให้รู้ว่า...
"ธรรม" เป็นสิ่งที่ดีงามและมีความสุข
"ธรรม" ให้จิตดีงามและมีความสุข
"ธรรม" คือสิ่งที่ประเสริฐสุดกว่าหลักการใดที่มนุษย์สามารถใช้สมองคิดวิเคราะห์ออกมาได้
เพราะธรรมเป็นสิ่งที่ออกมาจากจิต เกิดด้วยการปฏิบัติ ย้อนกลับทบทวนในสิ่งที่ปริยัติ
แล้วกลั่นออกมาเป็นปฏิเวธ
ธรรมนำไปสู่ความศานติสุข เป็นความจริงแท้ฉันใด
ชีวิตที่มีความสุข ก็ต้องอยู่บนฐานของพุทธธรรมฉันนั้น ซึ่งเป็นความจริงแท้เช่นเดียวกัน
พลังความรู้จงสถิตอยู่กับท่านตลอดไป
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
28 สิงหาคม 2549