วันสิ้นโลก


เพิ่มเติมคำทำนาย

เหลือเชื่อ วิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ คำทำนายบังเอิญสอดคล้องกันอย่าง ไม่น่าเชื่อ! เตือนปีนี้เมืองไทยจะประสบภัยพิบัติหนักสุด จับตาสิงหาคมถึงปลายปี น้ำท่วมใหญ่เมืองกรุง ไต้ฝุ่นถล่มอ่าวไทยซ้ำรอยสหรัฐ "สมิทธ" ระบุน้ำท่วมภาคเหนือเป็นสัญญาณเตือน!

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคเหนือ สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างไม่คาดคิด มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 50 ราย และสูญหาย นับร้อยนั้น ทำให้หลายหน่วยงานต้องระดมกำลังเข้าช่วยเหลือ ซึ่งล่าสุดปริมาณน้ำท่วมขังยังไม่มีที ท่าจะลดลงและสร้างความเดือดร้อนอย่างมาก ที่ สำคัญมีการออกมาเตือนว่าอุทกภัยในปีนี้อาจจะขยายวงกว้างมาถึงภาคกลาง และ กทม.ด้วย ขณะที่อีกกลุ่มไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้

สำหรับกลุ่มนักธรณีวิทยา และอุตุนิยมวิทยา ที่เชื่อว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับประเทศไทย หนักกว่าที่ผ่านๆ มา ยืนยันจากข้อมูลสถิติและเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลก โดยเฉพาะปรากฏการณ์ลานีญา หรือน้ำท่วม ใหญ่ พายุถล่มที่กำลังจะมาเยือนเมืองไทยในปีนี้ ซึ่งอีกกลุ่มหนึ่งมองว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนั้นจะสอด คล้องกับคำทำนาย หรือการตีความของไบเบิ้ล โค้ดอย่างไม่น่าเชื่อ...

เตือนคนไทยรับมือภัยพิบัตินับแต่นี้

รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ศึกษาเรื่องภัยพิบัติ กล่าวว่า จากข้อมูลที่ศึกษาเป็นการล่วงหน้าในปี 2007 ร่วมกับองค กรนานา ชาติที่ศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโลก พบ ว่านับตั้งแต่ปีนี้การเกิดภัยพิบัติในไทยและทั่วโลกจะมีมากขึ้นถึง 20% ในทุกๆ ปี โดยเฉพาะประเทศจีนและยุโรปจะรุนแรงมาก

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์น้ำท่วมแผ่นดินถล่มใน จ.อุตรดิตถ์ เป็นปรากฏการณ์เชื่อมโยงกับความปรวนแปรของภูมิอากาศโลก ซึ่งมีสาเหตุจากภาวะ โลกร้อนโดยตรง ขณะนี้กระแสน้ำในทะเลแปรปรวน ปรากฏการณ์ลานีญาจะทำให้ฝนตกมากในไทยและเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม ทางตอนใต้ของจีน โดยจะเกิดพร้อมๆ กับแผ่นดินถล่ม ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่นับแต่นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก

รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวอีกว่า จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปจะทำให้ฤดูร้อนในไทยอาจลาก ยาวจากเดือน มี.ค. เม.ย. ไปถึงเดือน พ.ค. โดย ภาพรวมแล้วไทยจะมีฝนตกมากขึ้นและมีการแปร ปรวน คือฝนตกมากขึ้นในทุกๆ ปีประมาณ 30% ถ้าเทียบกับช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จะทำให้เกิดภัยพิบัติ ก่อให้เกิดแผ่นดินถล่ม น้ำท่วมและภัยแล้ง ในปีเดียวกัน

"เรื่องภัยพิบัติเราคนไทยจะต้องเจอทุกปีและ จะต้องมีการเตรียมพร้อม เผลอๆ ปีนี้ภาคกลางจะเจอค่อนข้างสูงโดยเฉพาะพายุไต้ฝุ่น หรือ Tropical Storm และพายุโซนร้อนที่มีกำลังแรงมาก ขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น 10-20% ส่วนภาคอีสานให้ระวังในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และยังมีแนวโน้มมาทางอ่าวไทยซึ่งมาจากทิศตะวัน ตกมากขึ้น เพราะว่าเมื่อก่อนบ้านเราพายุไต้ฝุ่นเข้า ทางดานัง แหลมญวน หรือทางไต้หวัน จีนใต้ เมื่อมาถึงไทยก็อ่อนกำลังลง"

ระวัง กทม. ซ้ำรอย "นิวออร์ลีนส์

รศ.ดร.ธนวัฒน์ ย้ำและเตือนว่าจากพายุไต้ฝุ่นที่มีความรุนแรงอาจมีผลทำให้เกิดน้ำท่วมใน ทุกภาคของไทย ช่วงเดือน ก.ค.-ต.ค. ปีนี้ โดยเฉพาะ กทม.ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยสูง มีโอกาสเกิด น้ำท่วมใหญ่ 3 เมตร เหมือนปี 2485 และปี 2496 เนื่องจากพายุไต้ฝุ่นที่หมุนเข้าอ่าวไทยโดยตรงบริเวณ ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและอ่าวไทยตอนบนซึ่งน่ากลัวมาก ประกอบกับน้ำเหนือที่จะไหลมาสมทบกรุงเทพฯ จะเหมือนนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะย่านรามคำแหง ซึ่งเป็นแหล่งกระทะเพราะพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 50 เซนติเมตร

นอกจากนั้น การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ จะมีผลกระทบต่อพืชพรรณธัญญาหารที่มีผล ผลิตลดลง และยิ่งไปกว่านั้นจะก่อให้เกิดโรคภัย ไข้เจ็บตามมา โดยเฉพาะโรคอุบัติใหม่ เช่น โรคไข้หวัดนกที่อาจกลายเป็นไข้หวัดที่ติดต่อไปยังคน โรคซาร์ส และโรคอุบัติซ้ำ โรคในอดีตจะกลับมาอีก เช่น ฝีดาษ ไข้ทรพิษ

"ผมไม่กลัวเรื่องภัยพิบัติจากน้ำ เพราะเราสามารถประกาศเตือนได้ในการอพยพคน แต่รัฐบาลต้องเน้นเรื่องการศึกษาวิจัยเรื่องภัยพิบัติให้มาก และสนใจทั้งการเตือนภัย การป้องกันโดยใช้หลักวิชาการ แต่โรคที่จะตามมาผมว่าน่ากลัวมากกว่า คิด ว่าคนจะตายเป็นเบือ หรือโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มาจากค้างคาวแม่ไก่ บริเวณ จ.ฉะเชิงเทรา ที่มี พาหะนำโรค เมื่อมาติดคนทำให้ตายได้"

ทั้งนี้เห็นว่า การติดตั้งสัญญาณเตือนภัยพิบัติทางน้ำ โดยใช้งบประมาณไม่มาก ในพื้นที่ 270 กว่าหมู่บ้าน ที่กรมทรัพยากรธรณีทำการสำรวจว่า เสี่ยงต่อแผ่นดินถล่มว่า โดยการตั้งเครื่องเตือนภัยวัดระดับน้ำในหมู่บ้านและเชื่อมระบบกับกรมอุตุนิยมวิทยาจะเป็นการดีกว่าติดตั้งหอเตือนภัยในพื้นที่ที่เกิดสึนามิ

กรีนเฮาส์เอฟเฟกต์ กระทบทั่วโลก

ขณะที่ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้คิดค้นระบบควบคุมการลงจอดบนดาวอังคารของยานอวกาศไวกิ้ง 2 ลำ เมื่อปี ค.ศ.1976 กล่าวว่า การที่เกิดภัยพิบัติขึ้นในประเทศไทยบ่อยๆ นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์เรือนกระจกอย่างแน่นอน เพราะจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงได้ส่งผลกระทบต่อทั้งโลก และในหลายพื้นที่ไม่เฉพาะประเทศไทย อย่างฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ก็มีผลกระทบทั้งสึนามิ แผ่นดินถล่มต่างๆ

ส่วนเรื่อง "ลานีญา" นั้น สมมติว่าฝั่งแปซิฟิก ฝั่งหนึ่งเกิดความแห้งแล้ง แต่อีกฝั่งที่อยู่ตรงกันข้ามจะมีน้ำมากผิดปกติ โลกเลยดึงเอาความร้อนไปข้าง และความเย็นมาอีกข้างทำให้เกิดความไม่สมดุล ถือเป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติเพราะไม่ค่อยเกิดขึ้น ซึ่งปกติทะเลก็ได้เปลี่ยนทิศมาหลายปีแล้ว จากที่เมื่อก่อนไทยเราเคยแห้งแล้งมาก แต่ทางฝั่งอเมริกาใต้จะมีพายุฝนตกหนักตลอด

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เหตุการณ์ "ลานีญา" หมุนมาที่ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางบ้านเราก็จะมีพายุ น้ำหลากกันตลอด ซึ่งตอนนี้เป็นที่น่ากังวลว่าระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอีกหรือไม่ เพราะถ้า ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเราก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิอีกครั้ง โดยที่เราไม่สามารถบอกได้เลยว่า "ลานีญา"จะมีการเคลื่อนตัวอย่างไร และอีกนานเท่าไรกว่าจะเคลื่อนตัวออกไป

ดร.อาจอง ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ขั้วแม่เหล็ก โลกพลิกตัวว่า ไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายๆ และขณะนี้ก็ยังไม่ได้พลิกตัวอะไร จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมากกว่า แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์น้ำทะเลสูงขึ้นมากๆ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งถ้าขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัวจริงจะส่งผลร้ายคือ โลก จะดึงพลังงานจากดวงอาทิตย์สูงเพิ่มขึ้นในบางจุดของโลก และจะส่งผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตในพื้นที่นั้นๆ

แย้ง "โลก...ไม่แตก"แต่อีก 12 ปีเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นเมื่อปีที่แล้ว ดร. อาจอง เคยกล่าวว่า ในการสำรวจดาวอังคารหรือเตรียมจะอพยพคนออกไปจากโลก ไม่ได้หมาย ความว่าโลกกำลังจะแตกจริงอย่างที่ทำนายกัน เพียงแต่ว่าขณะนี้โลกของเราอาจกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจากมนุษย์ด้วยกัน เพราะว่าเราทำลายป่าไม้ เผาผลาญพลังงานมากเกินไป ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จนเกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จนน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มละลาย รวมทั้งทำให้เกิดพายุไต้ฝุ่น พายุเฮอร์ริเคน ซึ่งเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม

"จากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น จากภาวะเรือนกระจก ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น วิกฤติอันนี้เกิดจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก ถ้าระดับน้ำทะเลมันสูงขึ้น มันก็จะเกิดน้ำท่วมในหลายๆ จุด แล้วถ้าลองคิดว่า น้ำทะเลมันขึ้นแค่ 2 เมตร กรุงเทพฯของเราก็คงไม่มีแล้ว เพราะกรุงเทพฯเราอยู่เหนือน้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร แล้ว ถ้าน้ำมันสูงระดับนั้นจริงๆ มันต้องท่วมเข้ามาในภาคกลางของประเทศไทย และบางประเทศก็อาจ ต้องสูญหายไป อย่างน้อยก็ประมาณเศษหนึ่งส่วน สามของหมู่เกาะแถบอันดามันก็อาจจะหายไปเลย

ผมคาดว่าอีก 12 ปี โลกของเราจะเปลี่ยน แปลงไป ซึ่งแต่ละศาสนาก็เคยมีการทำนายเอาไว้แล้วว่าโลกของเราจะต้องเกิดวิกฤติ แต่การที่จะ ไปถึงจุดนั้นได้ มนุษย์เราคงต้องโดนกระตุ้นจาก ธรรมชาติเสียก่อน"

เตือน กทม.รับมือน้ำท่วมใหญ่

นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการคณะกรรมการภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า การคาดการณ์ของตนที่เชื่อว่าปีนี้กรุงเทพฯ และภาคกลาง อาจประสบปัญหาฝนตกและน้ำท่วมอย่างรุนแรง เนื่องจากภาวะโลกร้อนและสภาวะอากาศแบบลานีญา โดยเฉพาะในเดือน ต.ค. พ.ย. และ ธ.ค.เป็น ช่วงเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในภาคกลางนั้น เป็นการมองจากข้อมูลและสถิติรวมทั้งประสบการณ์การทำงานของตนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

โดยเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคเหนือนั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับสภาพอากาศเมืองไทย ซึ่งจากการวัดปริมาณน้ำฝน 2 วันนั้น สูงถึง 390 มิลลิเมตร ถือว่าเข้าขั้นภัยพิบัติแล้ว เพราะตามปกติถ้าปริมาณน้ำฝนสูงเกิน150 มิลลิเมตร ก็จะทำให้น้ำป่าไหลหลากแล้ว

นอกจากนี้ ยังมองว่าในเมืองไทยจะเผชิญกับฝนต่อเนื่องไปอีกถึงปลายปี เนื่องจากได้รับอิทธิพล ของปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อนและสภาวะอากาศแบบลานีญา ที่เคยเกิดขึ้นที่สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว ทำ ให้เจอกับพายุเฮอร์ริเคนหลายลูกและบางเมืองจมอยู่ใต้น้ำ ส่วนปีนี้ภาวะโลกร้อนส่งอิทธิพลมาประเทศ แถบเอเชีย เหนือเส้นศูนย์สูตรของประเทศไทยพอดี โดยปรากฏการณ์ลานีญาจะกินเวลาประมาณ 12-18 เดือน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้จนกระทั่งส่งผลในเดือนนี้และจะมีผลไปถึงปลายปีอย่างแน่นอน

"สำหรับภาวะอากาศแบบลานีญานั้นสังเกตได้จากน้ำในทะเลจะอุ่นและร้อนขึ้นจนระเหย กลายเป็นไออยู่ในอากาศ ทำให้เกิดการรวมตัวกับก้อนเมฆและทำให้ฝนตกหนักหลายพื้นที่ รวมทั้งเป็นตัวการให้เกิดพายุด้วย ปีนี้นอกจากน้ำท่วมแล้วเมืองไทย อาจจะต้องประสบกับพายุหลายลูกทีเดียว ประมาณช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ซึ่งมีความเป็น ไปได้ว่า จะเข้าทางฝั่งอ่าวไทยทางประเทศเวียดนาม ลาว และมาถึงไทย อยู่ที่ว่าจะโดนเต็มๆ หรือแค่ห่างๆ เท่านั้น"

ชี้การเตือนภัยช่วยรับมือภัยพิบัติ

นายสมิทธ กล่าวอีกว่า นับจากนี้หากยังมีฝนตกต่อเนื่องในภาคเหนือไม่ว่าจะตกหนักหรือตกเบา ไปจนถึงเดือน ธ.ค. ก็จะทำให้มีปริมาณน้ำที่ ถูกกักเก็บตามเขื่อนต่างๆ ระบายไม่ทัน ประกอบ กับมรสุมที่ค่อยๆ เลื่อนลงมาจากภาคเหนือมาภาค กลางและลงไปยังภาคใต้ เดือน ต.ค.-พ.ย. และในเดือน พ.ย.-ธ.ค. จะมีน้ำทะเลหนุน โอกาส ที่น้ำเหนือจะระบายออกทางแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นไปได้ยากก็จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในภาคกลางและกรุงเทพฯ ซึ่งอาจจะหนักเหมือนเมื่อปี 2528 หรือ 2538 ที่มีน้ำท่วมใหญ่ก็ได้

"ปริมาณน้ำเหนือในขณะนี้ไม่มีผลกระทบต่อ กทม. แน่นอน แต่ช่วงเวลาที่เหลืออีกหลายเดือน นั้นอาจจะเกิดขึ้น หากไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือก็จะเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่โดยเฉพาะใน กทม. เศรษฐกิจจะหยุดชะงักเสียหายมหาศาล"

สำหรับการเตือนภัยนั้น ตนมองว่า เป็นสิ่งสำคัญเพราะสิ่งต่างๆ นั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต โดยในช่วง 55 ปี ที่ทำงานมาพบว่ามีความ เสียหายจากภัยพิบัติ อุทกภัย มูลค่ากว่าแสนล้าน บาททีเดียว ไม่รวมการสูญหายและเสียชีวิต จึงเชื่อว่าการเตือนภัยเป็นสิ่งจำเป็นและช่วยให้ประชา ชนรอดชีวิต แม้ว่าหลายฝ่ายจะมองว่าเสียเงินโดย ใช่เหตุ แต่ตนมองว่างบประมาณเพียงหลักร้อยล้านบาทไม่มากในการรักษาชีวิตและทรัพย์สิน เพราะนับจากเกิดเหตุการณ์สึนามิเป็นต้นมา ประเทศไทยน่าจะประสบกับภัยพิบัติหนักขึ้น

ส่วนการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยนั้น แผนแรกได้ติดตั้งแล้ว 71 จุด ในชายฝั่งอันดามันและ มหาสมุทรอินเดีย และขณะนี้อยู่ระหว่างการทำแผนที่ 2 ซึ่งกำลังติดตั้งในอ่าวไทยทั้งหมด 48 จุด และแผนที่ 3 จะติดตั้งในพื้นที่ภาคเหนือ-ภาคอีสาน-ภาคกลางตอนล่างทั้งหมด โดยกำหนดการจะทำภายในสิ้นปีนี้ และกำลังจะเสนอของบฯ เข้าไป เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือขึ้นมา ทำให้รอไม่ได้แล้ว โดยศูนย์เตือนภัยนี้สามารถเตือนได้ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม โคลนถล่ม โดยจะมีการประกาศออกไปทั่วพื้นที่ให้ประชาชนได้ยิน ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนกับหอเตือนภัยสึนามิทุกประการ แต่ในเบื้องต้นที่ยังไม่มีเครื่องมือ ก็จะขอประกาศเตือนผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจก่อน อาจจะเตือนล่วงหน้าเป็นวันหรือเตือนก่อน ล่วงหน้า 2-3 ชั่วโมง เพราะปัจจุบันนี้ข้อมูลของกรมอุตุฯ มีความรวดเร็วและน่าเชื่อถือมากขึ้น

ถอดรหัสคำทำนายไบเบิ้ลโค้ด

หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันในหลายจังหวัดภาคเหนือมีหลายคนมองว่าสอดคล้องกับคำทำนายของหมอดูและจากการถอดรหัสของ ไบเบิลโค้ดอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงนี้จึงมีการฟอร์เวิร์ดเมลคำทำนายของโหรโสรัจจะหมอดูชื่อดัง ซึ่งระบุว่า จะเกิดภัยพิบัติในเดือนสิงหาคม โดยจะเกิดดีเปรสชั่นผ่านตอนเหนือของประเทศ น้ำป่าเริ่มไหลบ่าจากทางเหนือและอีสานลงมาทางใต้ ต่อเลยมาถึงกรุงเทพฯ เขื่อนทั้งเล็กและใหญ่จะพังทลาย เกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัด พืชพันธุ์ธัญญาหารเสียหายยิ่งกว่าครั้งใด กรุงเทพฯ ต้องจมอยู่ใต้บาดาลเป็นเวลายาวนาน

ปลายเดือนจะมีเรือชนกันเสียหายที่อ่าวไทย เรือบรรทุก น้ำมันเสียหายที่สุด น้ำทะเลจะเต็มไปด้วยคราบ น้ำมัน ปลายเดือนสนามบินแห่งใหม่ซึ่งเป็นคำทำนายที่ปรากฏอยู่ในหนังสือศาสตร์แห่งโหร 2549 ส่วนในไบเบิลโค้ด ที่ถูกถอดรหัสอกมานั้นระบุว่า ประเทศไทยจะถูกทำลายล้างในวันที่ 28 สิงหาคม 2006 เช่นกัน ทำให้คนกล่มหนึ่ง ที่ได้รับเมลมีความตื่นตระหนกกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับเมืองไทย และกรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง เหมือนเมื่อปีที่แล้ว...

อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหรศาสตร์นานาชาติ กล่าวว่า ตนเคยทำนายไว้ในตำรา ศาสตร์แห่งโหรเช่นกันว่า ประมาณวันที่ 24 พ.ค. จะเป็นช่วงที่เกิดภัยทางน้ำครั้งใหญ่ โดยเฉพาะ ทางภาคเหนือ เนื่องจากเป็นช่วงที่ดาวอังคารยกเข้ามาราศีกรกฎ ซึ่งเป็นราศีธาตุน้ำ และดาว เสาร์จรเข้าราศีกรกฎเช่นเดียวกัน ในทางโหราถือว่ากรกฎหมายถึงทิศเหนือ ส่วนราหูอยู่ในราศีมีน ก็เป็นราศีธาตุน้ำเช่นกัน เมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมในภาคเหนือหลายคนก็โทร.มาบอกว่าไม่ น่าเชื่อ ซึ่งอิทธิพลของดาวบาปเคราะห์ที่มีความ สัมพันธ์กันนั้นอาจจะส่งผลนานกว่าหนึ่งเดือน หลังจากนี้ยังต้องระวังจะเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลัน และอุบัติภัยรุนแรง โดยเฉพะในดือน มิ.ย.นี้ ซึ่ง มีช่วงที่อังคารจะโคจรมาทันดาวเสาร์ในราศีกรกฎ

หมอดู เตือนเกิด"สึนามิบก"

ด้าน นายกิจจา ทวีกุลกิจ หรือ "หมอนิด" หมอดูซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขณะนี้ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายก รัฐมนตรี ดวงตกอย่างหนัก

"ดวงของผู้นำส่งผลให้เหตุการณ์บ้านเมือง เป็นแบบนี้ น้ำท่วมโดยไม่คาดคิดก็เหมือนกัน ต่อไปเมืองไทยยังต้องเจอเหตุการณ์อีกเป็นระลอก ไม่ใช่เฉพาะแค่เหตุการณ์ภาคใต้เดือด ภาคเหนือน้ำท่วม เหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น น้ำท่วมปีนี้ไม่รุนแรง ไม่ยืดเยื้อ แต่ถ้าจะดูน่ากลัวละก็ ผมว่าปีหน้าน่ากลัวมากกว่าอีก ต้อง ระวังทั้งเรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ ทุกอย่างต้องระวัง ธุรกิจก็จะซบเซายิ่งกว่านี้ เรียกว่าเกิดสึนามิบกเลยทีเดียว แล้วคราวนี้ชาวบ้านรับไปเต็มๆ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะดวงผู้นำไม่ดีจึงทำประเทศชาติมีปัญหา ก็เหมือนกับคนเป็นพ่อบ้าน ถ้าพ่อบ้านมีปัญหาลูกๆ ในบ้านก็เดือดร้อนไปด้วย ลองย้อนกลับดูสิว่าตอนช่วงเทอมแรกที่นายกฯทักษิณ อยู่ในตำแหน่ง ช่วงนั้นดวงดี บ้านเมืองก็สงบเรียบร้อยดี แต่หลังๆ มานี่ดวงเขาไม่ดี บ้านเมืองก็วุ่นวายไปหมด"

พระบารมี"ในหลวง" ปัดเรื่องร้ายผ่านไป

นายกิจจา กล่าวต่อไปว่า อยากให้จับตาดูช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม จะเกิดเหตุการณ์ "ฟ้าผ่า" ในเมืองหลวง โดยฟ้าผ่าที่ว่านี้ไม่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่หมายถึงความขัดแย้งอย่างรุนแรงของระดับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เป็น เรื่องที่เหนือความคาดหมายและเกิดบานปลายอย่างไม่คาดคิด

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องพบกับปัญหาทางเศรษฐกิจไปอีกยาวจนถึงปี 2551 และน่าจะฟื้นในปี 2552-2553 และก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นนั้น ตนขอทำนายว่า รัฐบาลจะไม่มีคนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมอยู่ด้วย

นายกิจจา กล่าวด้วยว่า ภัยธรรมชาติและความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยยามนี้นั้น ตนมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้น เพราะ พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งปีนี้เป็นปีมหามงคล พระบารมีของพระองค์จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้กับคนไทย 60 กว่าล้านคน อีก ทั้งประชาชนยังยึดพระองค์ท่านเป็นหลักทำให้ผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ ไปได้

ไขความลับใน "ไบเบิ้ลโค้ด"

นายไทยรักษ์ ตั้งประกาศิต นักธุรกิจไทยที่ศึกษาเรื่อง "ไบเบิ้ลโค้ด" (Bible Code) เคยระบุ ถึงคำพยากรณ์ที่ซ่อนอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า คำทำนายที่ปรากฏนั้นสามารถบอกถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของทุกประเทศทั่วโลกที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงกับที่พระคัมภีร์บอกไว้หลายเรื่อง อาทิ เรื่อง เจ้าหญิงไดอาน่า มหาตมะ คานธี ประธานาธิบดี ลินคอล์น ฯลฯ

สำหรับประเทศไทยนั้น นายไทยรักษ์ กล่าวว่า จากที่ได้ศึกษาพบว่าเหตุการณ์สำคัญในเมืองไทยทั้งในอดีตและอนาคตก็ถูกซุกซ่อนอยู่ในไบเบิ้ลโค้ดเช่นกัน อาทิ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ชื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ส่วนเรื่องที่มีการทำนายว่าจะมีน้ำท่วมใหญ่ในอนาคตและประเทศไทยจะจมทั้งหมดนั้น นายไทยรักษ์บอกว่า "ผมเปิดรหัสท่วมแน่ 90% ใน ค.ศ.2005 (2548) ท่วมหนักเลย และสาเหตุไม่ใช่มาจากประเทศไทย แต่เป็นผลจากที่อื่นมากระทบเมืองไทย และเพชรบูรณ์จะเป็นเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ"

คำทำนายโลกาพิบัติจากเกจิดัง

ทางเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม มีการโพสต์เรื่องการทำนายเกี่ยวกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นคำบอกเล่าจากพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่งที่จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อปี พ.ศ. 2545 ได้เล่าให้หมู่ผู้ปฏิบัติธรรมฟังว่า ในปีพ.ศ.2548-2550 จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้น ซึ่งจะมีทั้งแผ่นดินไหว แผ่นดินยุบ น้ำท่วมจากคลื่นในทะเลมีการระบาดของโรคร้ายชนิดแปลกๆ มี สงครามที่รุนแรงแต่ไม่ใช่สงครามโลก ปลายปี 2547 อาจจะได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างเป็นการชิมลาง ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่จะเกิดในปี 2549 และ 2550

หลังปี 2550 ผู้คนบนโลกจะมีเหลือรอดไม่ถึง 1 ใน 3 แต่คนไทยจะโชคดีหน่อยที่มีชีวิตเหลือรอดมาได้ประมาณครึ่งหนึ่ง โดยที่ภาค ใต้ทั้งภาคจะหายไปจากแผนที่ ส่วนทางภาคกลาง ภาคตะวันออกบางส่วนก็จะจมทะเลอันเนื่องมาจากน้ำแข็งขั้วโลกทั้งสองละลายหมด น้ำทะเลจะ สูงขึ้น 10 เมตร โดยที่ในปี 2550 ระบบเงินตราทั่วโลกพังทลายหมด เงินหนึ่งดอลลาร์มีค่าไม่ถึงบาท การซื้อขายสินค้าก็จะใช้เป็นแบบของ แลกของ หรือใช้ทองคำแทนเงินในการซื้อขาย จากนั้นเหตุการณ์ก็จะค่อยๆ สงบลง แล้วผู้คนที่เหลือรอดก็จะมาเริ่มต้นกันใหม่

ประมาณปี 2552 เป็นต้นไปจะมีการเรียน การสอนวิชาสามและวิชาหก โดยฆราวาส 4 ท่านที่มีบารมีและพลังจิตสูงมากซึ่งจะมีการเรียน การสอนกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนการใช้โทรจิตติดต่อกันโดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์บ้าน หลังจากนั้นจะมีการปรากฏตัวขององค์พระศรีอาริยเมตไตย การเรียนการสอนวิชาต่างๆ เหล่านี้ จะทำได้ที่เดียวในโลกคือประเทศไทย เพราะเป็นเรื่องฟ้าลิขิต

สุดท้ายเมืองไทยจะได้รับการแต่งตั้งจากทั่วโลกให้เป็นศูนย์กลางสมาพันธ์โลกและศูนย์กลาง อารยธรรมใหม่ของโลก ภาษาไทยได้กลายเป็นภาษาสากลที่ใช้กันทั่วโลกทั้งหมดที่กล่าวจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2560 นี้

คำสำคัญ (Tags): #kmanw3
หมายเลขบันทึก: 468182เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2011 14:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 18:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เป็นความรู้ที่ดีครับ เชื่อไว้ไม่ผิดครับ สามารถทำให้เราหาวิธีการรับมือและป้องกันได้ หากมันไม่เกิดก็ไปเป็นไร ขอบคุณในองค์ความรู้ ครับ

...เชื่อ..อะไรเขาบอก..เขาหลอก..ให้เรา..ไหลหลง..เขาหลอก..ให้เราพะวง..ชอกช้ำ..ระกำใจ..ตาย...(ดีใจที่ภาษาไทย..จะเป็นภาษาสากลแห่งโลกที่กำลังจะบุบบี้อ้ะ...ที่ยุโรปใน..ฮัมบอรกมี..การสอนภาษาไทยในมหาวิทยาลัย..ผู้หญิงไทยไปอยู่กันทั่วโลก..เธอได้แบกภาระ..การสอนภาษาไปด้วย..สำหรับลูกๆที่เกิดมาใหม่..มีอนาคตแน่เจ้าค่ะ..ยายธี..)

แล้วเจ้าสิ่งนี้จะสามารถช่วยชลอภัยพิบัติได้อย่างไรกันบ้างเมื่อมีเทคโนโลยีสร้างขึ้นแล้ว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท