แนวคิดเกี่ยวกับความเจ็บป่วย
ปรากฏการณ์ของภาวะสุขภาพ (Health Status) ที่อยู่ในความสนใจของนักวิชาการทั้งหลาย ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบใหญ่ คือ ภาวะสุขภาพที่สมบูรณ์ดีที่เป็นที่ต้องการหรือเป็นปกติ (Optimum or desired health, healthiness or healthy) กับภาวะสุขภาพที่ไม่เป็นที่ต้องการ ไม่สมบูรณ์ ไม่ปกติ หรือทุกขภาพ (undesired, unhealthy or ill-health) ซึ่งการมองจากจุดของภาวะสุขภาพ (health) ดังที่กล่าวนี้ถือว่า เป็นการมองจากปริทัศน์ทางบวก แต่ขณะเดียวกันมิติของสุขภาพก็สามารถจะมองจากปริทัศน์ด้านลบ กล่าวคือเริ่มต้นจากภาวะทุกขภาพ (ill-health) เช่น การมองภาวะสุขภาพที่ไม่ดีว่าคือภาวะที่เป็นโรค หรือความพิการ ภาวะที่มีความเจ็บป่วยและมีความไม่สบาย (disease and disability, ill and sick) และภาวะสุขภาพที่ดีก็คือลักษณะที่ตรงกันข้าม คือปราศจากโรคหรือความพิการ ความเจ็บป่วย และความไม่สบาย เป็นต้น
1) โรค (disease) การที่จะบอกว่าใครมีสุขภาพไม่ดีนั้น คนเรามักจะถึงมิติทางชีววิทยา ที่แสดงว่า มีการเปลี่ยนแปลงหรือกระทบกระเทือนในการทำหน้าที่ของร่างกาย ซึ่งยังผลให้มีการหยุ่นลงในสมรรถภาพ และทำให้อายุขัยสั้นลง ปรากฏการณ์เหลานี้ สามารถวัดได้อย่างเป็นปรนัย (objectively measurable) และอาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งมีอยู่จริงไม่ว่าใครจะสังเกตเห็นมันหรือไม่ก็ตาม ที่เราเรียกว่าเป็นโรค โดยแนวคิดเกี่ยวกับโรคจะสอดคล้องกับปรัชญาตามแบบแผนประเพณีของสังคม และเป็นมิติหนึ่งของความมีสุขภาพไม่ดี (ill health) หรือไม่มีสุขภาพที่ดี (non-health) การจำแนก หรือประทับตรา มักจะกระทำโดยผู้ที่มีบทบาทเฉพาะ เช่น แพทย์ในสังคมตะวันตก และในสังคมอื่นก็ได้ได้แก่พวกผู้ทำการรักษาโรค (practitioners) ต่าง ๆ
2) การเจ็บป่วย (Illness) คนจะบอกว่าตัวเองมีสุขภาพไม่ดีจากความรู้สึกที่ตนรู้เอง (subjective feeling) และการรายงานหรือบอกเล่าความรู้สึกไม่สบายของตนเองนี้กับผู้อื่นก็จะทำให้ผู้อื่นกำหนดให้บุคคลนั้นเป็นคนมีสุขภาพไม่ดี (unhealthy) ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก หรืออาการ เช่น ความเจ็บปวดอ่อนแอ วิงเวียน อาเจียน คลื่นไส้ กระวนกระวาย วิตกกังวล เหล่านี้ ก็เป็นอาการที่เรียกว่าเป็นความเจ็บป่วยหรือความไม่สบาย (IIlness) ตามนิยามหรือคำจำกัดความนี้ ความรู้สึกว่ามีอาการไม่สบายที่ตนรู้สึกเอง (subjective feeling) จะสอดคล้องกับปรัชญาของประเพณีวัฒนธรรม มากกว่าความสอดคล้องของอาการไม่สบายที่ได้จากการวัดอย่างเป็นปรนัย หรือที่เรียกว่าเป็นโรค (objectively measurable) และเป็นมิติของความไม่มีสุขภาพดี (non-health) ที่ผู้ป่วยจะรู้สึกเอง ซึ่งต่างจากการเป็นโรค ซึ่งเป็นมิติของความไม่มีสุขภาพดีที่จะรู้โดยแพทย์ไม่ใช่ผู้ป่วย และความเจ็บป่วย หรือความไม่สบายเหล่านี้ จะถูกเข้าใจว่าเกิดจากโรค และมักจะเป็นชนวนที่จุดความริเริ่มให้คนแสวงหาความช่วยเหลือทางการแพทย์แต่ความเจ็บป่วยไม่เหมือนโรค เพราะอาจมีการเจ็บป่วยโดยที่ไม่ต้องมีโรคก็ได้ และในบางกรณี บางระยะของโรคก็อาจมีโรค โดยไม่มีอาการได้เหมือนกัน
3) ภาวะเจ็บไข้หรือป่วย (Sickness) เมื่อบุคคลถูกคนอื่นเรียกหรือกำหนดว่าเป็นคนมีสุขภาพไม่ดี หรือตัวบุคคลนั้นประกาศตัวเองต่อสาธารณะว่า ตนมีสุขภาพไม่ดี รูปลักษณ์ของบุคคลนั้นในสังคมก็จะเปลี่ยนแปลงไป โดยบุคคลนั้นจะถูกแขวนป้ายว่า เป็นคนเจ็บ คนป่วย คนไข้ ไม่สบาย เป็นโรค ซึ่งในภาวะเหล่านี้ เขาก็จะถูกปฏิบัติต่อแตกต่างไปจากคนอื่นที่มีสุขภาพดี เอกลักษณ์ทางสังคม (social identity) ที่ถูกกำหนดให้โดยสังคมนี้เรียกว่า เป็นภาวะเจ็บไข้หรือป่วย (sickness) ดังนั้นโรค (disease) จึงเป็นสภาวะสังคมชีววิทยา (socio biological status) ความเจ็บป่วย (illness) จึงเป็นสภาวะทางสังคมจิตวิทยา (social psychological status) และภาวะป่วย (sickness) เป็นสภาวะทางสังคม (social status) เหตุการณ์ที่นำไปถึงภาวะเจ็บไข้หรือป่วย (sickness) นั้นอาจเป็นได้ทั้งโรคและความเจ็บป่วย หรือการทำหน้าที่ของระเบียบสังคมก็ได้ และจะเห็นว่าในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรคนั้นเป็นบทบาทของการแพทย์ในขอบเขตของชีววิทยา ส่วนของความเจ็บป่วยเป็นบทบาทของจิตแพทย์ในส่วนของจิตวิทยาและของภาวะป่วยเป็นบทบาทของนักสังคมวิทยา หรืออาจกล่าวได้ว่าภาวะเจ็บไข้หรือป่วยนั้น มักจะสะท้อนถึงโรคหรือความเจ็บป่วย แม้ว่าบางทีมันอาจเกิดขึ้นแยกจากกันต่างหางก็ได้
ไม่มีความเห็น