เปิดเลนส์ ส่องโลก ท่องแดนไกล ตามใจฉัน อินเดีย แคชเมียร์ ตอนที่ 6 เช้าเที่ยวกุลมาร์ค บ่ายแวะสวนแอปเปิ้ล เย็นท่องตลาดแบกะดิน


กุลมาร์ค………สวิตเซอร์แลนด์เอเชีย

                  เช้าวันที่ 25 กันยายน หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ออกมาแชะรูปหน้าบ้านเรือเหมือนเช่นทุกวันค่ะ ขอแนะนำ Mr. Ali (คนขวามือ) ลุงพายเรือชายผู้ซื่อสัตย์ของพวกเรา แกพูดภาษาอังกฤษได้คำสองคำ คอยมารับมาส่งพวกเราระหว่างท่าเรือกับบ้านเรือตลอดห้าวัน แกนิสัยน่ารักมาก เวลามาส่งพวกเราที่บ้านเรือเสร็จแล้ว แกจะคอยไล่ให้พวกเราเข้าบ้าน (ทำท่าโบกมือไล่) แล้วแกก็จะคอยไปปิดประตูบ้านให้ พวกเราคิดว่าแกคงกลัวพ่อค้ามาหลอกขายของน่ะค่ะ ส่วนอีกคนคือ Mr.Armad (คนซ้ายมือ) พ่อบ้านของบ้านเรือลำที่สองที่พวกเรามาพัก เนื่องจากมีกรุ๊ปทัวร์ใหญ่กว่ามาพัก เจ้าของบ้านเรือเลยขออนุญาตย้ายพวกเราจากบ้านเรือหลังใหญ่มาอยู่หลังเล็กแทน (อาจ๊าดเจ้าของบ้านเรือบอกว่า Chicago Houseboat มีบ้านเรือในเครือทั้งสิ้น 14 หลังค่ะ) เพื่อนๆ อิชั้นไม่ค่อยปลื้มพ่อบ้านคนนี้ค่ะ เพราะว่าบริการไม่ค่อยดีเหมือนพ่อบ้านคนแรก และที่สำคัญเพื่อนอิชั้นเธอว่า “พ่อบ้านคนนี้ชอบชักศึกเข้าบ้าน” นั่นก็คือแกชอบเปิดบ้านเรือให้พ่อค้าเข้ามาขายของพวกเราค่ะ (คิดว่าแกคงได้เปอร์เซ็นต์ด้วย)

                  วันนี้พวกเรานัดทาริคไว้ที่ท่าเรือ 9.30 น.เหมือนเดิมค่ะ แต่พ่อบ้านโทรไปเลื่อนนัดกับทาริคเป็น 10.00 น. เพราะจะให้พ่อค้ามาขายของพวกเรา แต่เพื่อนๆ ของอิชั้นทำท่าไม่สนใจ จึงมีพ่อค้าขายกระเป๋าเจ้าเดียวเท่านั้นที่ได้เข้ามาขายของพวกเราเช้านี้

                  จุดหมายปลายทางของวันนี้คือกุลมาร์ค (Gulmarg) ซึ่งเป็นภูเขาที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในแคชเมียร์ ที่นี่จะมีกระเช้าเคเบิ้ลไฟฟ้านั่งขึ้นไปบนภูเขา เพื่อเล่นสกีหรือเล่นเลื่อนหิมะ ระหว่างทางทาริคแวะทำธุระในตลาดค่ะ เพื่อนอิชั้นไม่ยอมให้เสียเวลาไปเปล่าๆ เธอเปิดประตูรถแล้วกระโดดไปแชะรูปในตลาดค่ะ อิชั้นเห็นจึงกระโดดตามเธอไปบ้าง เธอถ่ายภาพวิวในตลาดค่ะ แต่อิชั้นมัวแต่ถ่ายรูปหนุ่มในตลาด ฮ่าๆๆๆ

                  พอขึ้นรถมาทาริคบอกพวกเราว่า “รู้มั๊ยว่าในตลาดที่มีคนเยอะๆ เนี่ยอันตรายมาก” พวกเราถามว่า “อันตรายยังไงเหรอ” แกว่า “บอมบ์” อ๊ายยยยยยยยยยยย ระเบิดเหรอ เหมือนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ชิมิ เพิ่งรู้ตัวนะเนี่ย ปกติตรงไหนคนเยอะ พวกเราวิ่งเข้าใส่เลย หารู้ไม่ว่า ณ ที่ตรงนั้นก็อันตรายตามไปด้วย

                  ทาริคแวะเติมน้ำมันค่ะ ฝั่งตรงกันข้ามมีกระโจมของพวกยิปซีเต็มไปหมดเลย สามวันที่ผ่านมาเจอยิปซีตลอดเลยนะคะ เยอะจริงๆ

                  อิชั้นสังเกตเห็นคนที่นี่จะไม่ค่อยใช้เครื่องจักรค่ะ ดูที่ทุ่งข้าวซิคะ เค้ายังฟาดข้าวโดยใช้แรงคนอยู่เลย ที่บ้านเราใช้รถสีข้าวกันแล้ว อิชั้นสังเกตเห็นผู้หญิงจะอยู่ในท้องทุ่งนาเยอะเลยค่ะ บางแห่งก็มีเด็กๆ ไปช่วยด้วย

                  มาถึงกุลมาร์คล่ะ ทาริคจัดไกด์ให้พวกเราหนึ่งคน (ค่าไกด์ 500 รูปี) ไกด์บอกว่าวันนี้เคเบิ้ลคาร์ปิดซ่อมแซมค่ะ เสียดายอย่างสุดซึ้งที่ไม่ได้ขึ้นไปชมวิวบนยอดเขา (เท่าที่จำได้ขึ้นเคเบิ้ลคาร์ชั้นแรก 300 รูปี ชั้นที่สอง 500 รูปี) ตอนที่พวกเรามาไม่ใช่หน้าหนาวด้วย เลยไม่มีหิมะ ถ้าเป็นช่วงหิมะตกที่นี่จะสวยมากค่ะ คล้ายๆ สวิตเซอร์แลนด์เลยทีเดียว พวกเราก็เลยทำได้แต่เดินเที่ยวรอบๆ ค่ะ ที่นี่มีม้าให้ขี่เหมือนกัน แต่ว่าเบื่อแล้วอ่ะคะ ขี่ม้ามาสองวันแล้ว วันนี้เดินดีกว่า ไกด์ที่ให้มาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมาก เป็นตัวถ่วงซะมากกว่า เพราะพวกเราเดินกันเองได้ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ถ้าเลือกได้คงไม่เอาไกด์ล่ะค่ะ แต่ทาริคจัดมาให้เลยต้องจำยอม

                  หลังจากลงมาจากกุลมาร์คทาริคจอดรถให้พวกเราแวะรับประทานอาหารเที่ยงค่ะ อาหารอร่อย แล้วร้านก็สะอาดน่านั่งมากค่ะ บริกรก็สุภาพ พวกเราประทับใจที่ร้านนี้ค่ะ ราคาค่าอาหาร 4 คน จ่ายไปแค่ 485 รูปีเองค่ะ (ถ้าจำไม่ผิด) ราคาถูกดีนะคะ

                  เอาล่ะค่ะมาถึงไฮไลท์ของวันนี้แล้ว ทาริคพาแวะสวนแอปเปิ้ลค่ะ เดือนนี้แอปเปิ้ลกำลังสุกแดงเต็มต้นพอดี พวกเราตื่นเต้นมากค่ะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นต้นแอปเปิ้ลจริงๆ เลยซักครั้ง พอปล่อยเข้าไปในสวนเท่านั้นแหละคร๊า กดชัตเตอร์กันถล่มทลายเหมือนกล้องจะพัง เจ้าของสวนก็ตามไปเฝ้าดู คงเพราะกลัวพวกเราจะเด็ดแอปเปิ้ลเค้าหรือไม่ก็กลัวพวกเราจะเหยียบต้นสตรอเบอรี่ที่ปลูกไว้ใต้ต้นแอปเปิ้ลพังเสียหาย เจ้าของสวนแอปเปิ้ลกับทาริคคงขำพวกเราน่าดูที่ถ่ายรูปกันทุกฉากทุกมุม คิดว่าในสายตาของพวกเค้าสวนแอปเปิ้ลก็คงเหมือนสวนมะม่วง สวนขนุนบ้านเรานั่นแหละคร๊า พวกเราก็ซื้อแอปเปิ้ลกลับมาด้วยสองกิโลกรัมเป็นการตอบแทนที่ให้เข้าไปถ่ายรูป

                  กุลมาร์คอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรือมากนัก วันนี้เราเลยกลับบ้านเรือกันตั้งแต่เย็นได้ทันเห็นพระอาทิตย์ตกน้ำพอดี

                  หลังจากเอาของเข้าไปเก็บที่บ้านเรือแล้ว พวกเราก็ออกมาทัวร์ตลาดเมืองศรีนากาเพื่อไปชมวิถีชีวิตชาวบ้านกันต่อค่ะ

                  เดินกันจนเหนื่อยก็แวะกินน้ำกันค่ะ ร้านที่ไปนั่งดูดีที่เดียว คนหล่อๆ ก็เยอะ อิๆๆๆ

                  ออกจากร้านน้ำมาเจอพ่อค้าวางของขายแบกะดิน ที่นี่เองค่ะทำให้เราได้รู้ว่าเปเปอร์มาเช่จริงๆ มันถูกมากกกกก สินค้าแฮนด์เมด (Handmade) อื่นๆ สวยแล้วก็ถูกด้วยเหมือนกันค่ะ

                  ระหว่างทางเดินกลับท่าเรือมีพ่อค้ามาเรียกลูกค้าหน้าร้านมากมายค่ะ แต่พวกเราไม่ได้สนใจ แต่มีอยู่ร้านหนึ่งเป็นร้านขายผ้า เจ้าของร้านก็ทั้งกวักมือทั้งส่งเสียงเรียกพวกเรา แต่พวกเราก็มิได้สนใจแล้วก็เดินผ่านหน้าร้านเค้าไป แต่พอเจ้าของร้านบอกว่า 20 รูปี” เท่านั้นแหละ สี่คนแถวตอนเรียงหนึ่งหันหลังขวับพร้อมกันแล้วเดินเข้าร้านไปในทันทีทันใด เจ้าของร้านก็พรีเซ้นต์สินค้าใหญ่ อิชั้นได้ผ้าจากที่นี่หลายผืนเหมือนกันค่ะ เพื่อนอิชั้นซื้อผ้าพันคอผืนละ 20 รูปีไป 4 ผืนเป็นเงิน 80 รูปี (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 56 บาท) แต่คุณเธอต่อราคาหน้าดำคร่ำเครียดให้เหลือ 50 รูปี พ่อค้าไม่ยอมค่ะ อิชั้นเห็นแล้วอยากจ่ายเงินแทนเธอให้รู้แล้วรู้รอดไป “เพื่อนอิชั้นทั้งเค็มทั้งเขี้ยวจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” (อย่าโกรธกันนะจ๊ะ ล้อเล่น)

                  จากร้านผ้าพวกเราก็แวะซื้อของรายทางไปเรื่อยเปื่อย ราคาของในตลาดหรือแบกะดินจะต่อลงได้อีกประมาณ 30-50 เปอร์เซ็นต์ค่ะ (ราคาตั้งต้นบอกถูกกว่าที่มาเร่ขายตามบ้านเรือมาก) ถ้าพ่อค้าไม่ให้ก็ให้เดินหนีเลยค่ะ เดี๋ยวพ่อค้าจะเรียกกลับมาเองค่ะ อิชั้นกับเพื่อนๆ ต่อราคาแล้วก็เดินหนี ซักแป๊บพ่อค้าก็จะเรียก Madam come come” แล้วก็บอกว่าDone” ซื้อของกับต่อราคาในตลาดสนุกมากมายค่ะ ของราคาไม่แพงแล้วต่อราคาก็ง่ายด้วย

                  เดินๆ มาเกือบจะถึงท่าเรือล่ะ ว๊ายเจอพ่อค้าหล่อ เลยแกล้งแถเข้าไปหยิบๆ จับๆ ผ้าดู แต่ไม่ได้ซื้อค่ะ เพราะซื้อมาจากที่อื่นเยอะแล้ว นี่ถ้าไม่ได้ซื้อมาก่อนหน้านี้นะ จะเหมาผ้าจากร้านนี้เลยเอ้า

                   มาถึงท่าเรือเจออาลีเดินเวียนไปวนมารอรับพวกเราอยู่ค่ะ อิชั้นและเพื่อนๆ รู้สึกผิดมากมาย เพราะบอกพ่อบ้านไว้ว่าจะกลับ 19.30 น. แต่ว่าช้อปปิ้งเพลินไปหน่อยเลยกลับมาช้าไปสองชั่วโมงเต็มๆ เป็น 21.30 น. พ่อบ้านบอกให้อาลีมารอรับพวกเราตอนทุ่มครึ่ง อาลีก็มาแต่ไม่เจอพวกเราก็เลยพายเรือกลับไปถามพ่อบ้าน แล้วก็พายเรือกลับมารอที่ท่าเรือต่อ พวกเราก็เลยพูดภาษาแคชเมียร์ “สุกรียา” แปลว่า “ขอบคุณ” กันยกใหญ่ เพื่อนอิชั้นแอบให้ทิปส่วนตัวอาลีไป 100 รูปี (สำหรับวันนี้) เพื่อเป็นการขอบคุณที่อุตส่าห์มารอพวกเราหลายชั่วโมง

                   มาดูกันค่ะว่าอิชั้นช้อปปิ้งอะไรจากแคชเมียร์บ้าง วันนี้แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวมาต่อกันตอนที่ 7 ตอนสุดท้ายจะพาไปเที่ยวตลาดน้ำก่อนกลับบ้านค่ะ

หมายเลขบันทึก: 464307เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2011 10:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 13:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบลีลาการเล่าเรื่องมาก อ่านมาหลายตอน มาถึงตอนนี้อยากรู้เพิ่มเติม คือ คนขายของส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด เห็นมีแต่พ่อค้านะ ไม่เห็นมีแม่ค้าเลย เป็นแบบนี้ทุกแห่งหรือป่าวครับ


Khun Jeerawat,

ขอบคุณค่ะ เท่าที่สังเกตจากเมืองที่ไปเยือน คือนิวเดลี อัครา และแคชเมียร์ ไม่มีผู้หญิงเป็นแม่ค้าเลยค่ะ มีแต่ผู้ชาย เคยถามพ่อบ้านที่ดูแลเราที่บ้านเรือ เค้าบอกว่าผู้หญิงจะอยู่บ้าน ทำงานบ้าน ดูแลสามีและลูกๆ ไม่ออกมาทำงานนอกบ้าน ผู้ชายมีหน้าที่ทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท