ชีวิตที่พอเพียง : ๑๔๐๓. เที่ยวอุทยานแห่งชาติ โยสิมิตี (Yosemite) (๑)



          ผมจองทัวร์ ก่อนเดินทางประมาณ ๓ สัปดาห์   พอก่อนเดินทาง ๑ สัปดาห์เขาก็อี-เมล์ มาเตือนว่าอย่าลืมพิมพ์หลักฐานที่เขาส่งมาให้ทางอี-เมล์   และขอให้โทรศัพท์ไปยืนยันกับเขา ก่อนวันทัวร์ ๒๔ ชั่วโมง   ดังนั้นเมื่อผมไปเชคอิน ที่โรงแรม จึงขอให้เจ้าหน้าที่คอนแช้จ (Concierge) โทรศัพท์ไปแจ้ง   ได้รับตอบว่ารถจะมารับ ๖.๓๐น.  

          เช้าวันที่ ๕ ก.ย. เรารอจน ๖.๔๕ น. ก็ยังไม่มีวี่แวว   ต้องให้เจ้าหน้าที่ที่ ฟร้อนท์เดสค์ โทรศัพท์ไปถาม   กำลังตรวจสอบก็พอดีรถมา    ปรากฎว่าเป็นรถโค้ชคันใหญ่

          หลังจากรถวนไปรับอีก ๓ ที่ก็ไปส่งที่ Pier 39   รถคันเดินทางจริงรออยู่แล้ว   เราต้องเอาหลักฐานไปรับตั๋วจากเจ้าหน้าที่ที่อาคารสำนักงาน   ตอนขึ้นรถโชเฟอร์ถามว่า ยูรู้ไหมว่าโรงแรมของยูชื่ออะไร   ผมตอบว่า อาวานี (Ahwahnee) เขาร้องว่า The Best! 

          ไกด์ชื่อ วอลเธอร์ บอกว่าเขาเป็นทั้งคนขับและบรรยาย (drive and talk) บอกว่าตามปกติคนทั่วไปเวลาขับรถจะไม่คุย   แต่เขาได้รับการฝึกฝนให้ทั้งขับและพูดในเวลา เดียวกัน

          จริงๆ แล้วนี่คือ Grey Line Tour อันลือชื่อ   รถโค้ชคันใหญ่จุ ๕๐ คนมีนักท่องเที่ยวเต็ม  มาจากหลากหลายประเทศ   มีฝรั่งสามีภรรยาอายุมากพอๆ กับเราคู่หนึ่งไปค้าง ๒ คืน   คนขับที่ไปรับเราตอนเช้าบอกว่าคนที่ไป Day Tour จะอยู่บนรถถึง ๘ - ๙ ชั่วโมง เพราะระยะทางถึง ๓๖๐ ก.ม.  ไปอยู่ในอุทยาน Yosemite เพียง ๓ ชั่วโมง   ไม่ทันได้ซึมซับบรรยากาศก็ต้องกลับเสียแล้ว   นั่นคือความรู้สึกของผมเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน

          ออกจาก Fisherman’s Wharf แล่นไปตามถนนเลียบริมทะเล ที่มี Pier ต่างๆ   ไปข้าม Bay Bridge ที่ยาวถึง ๑๘ ไมล์ สร้างมาเกือบ ๘๐ ปีและเริ่มไม่แข็งแรง   จึงมีการสร้าง สะพานใหม่คู่ขนาน เป็นสะพานแขวนสมัยใหม่   สถาปัตยกรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ยังสร้างไม่เสร็จ

          พอข้ามสะพานมาหน่อยก็มาถึงบริเวณ Livermore ที่มีชื่อเสียงด้านไวน์ขาว และมี  Lawrence Livermore Laboratory ทำวิจัยด้านนิวเคลียร์

          คุณวอลเธอร์เตือนว่า ฤดูนี้เรียกว่าฤดูไฟป่า   เพราะทุกอย่างแห้งมาก  ใครทิ้งบุหรี่ลงพื้น จะโดนคนรุมสกรัม และโดนปรับ ๑,๐๐๐ เหรียญ 

          เรานั่งรถผ่านเนินเขาหัวโล้นที่มีแถวกังหันลมปั่นไฟฟ้า แสดงว่าการผลิตพลังงาน ทางเลือกก้าวหน้ามาก   ประเทศไทยก็กำลังจะมีการผลิตไฟฟ้าพลังลม อ่านข่าวได้ที่นี่

          เราผ่านแปลงฟาร์มเกษตรหลากหลายชนิดของพืชและสัตว์   ได้แก่ข้าวโพด องุ่น สตรอเบอรี่ พีช  วัว แกะ เป็นต้น   ผ่านฟาร์มที่มีหอสูงวางถังน้ำสำหรับ รดน้ำต้นไม้ มีกังหันลม ๒ อันติดอยู่ที่หอ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นการใช้พลังลมสูบน้ำขึ้นถังสูง ขนาดนี้   จะเห็นว่าการใช้พลังงานทางเลือกกลับมาแพร่หลายขึ้นมากมาย

 
          จำได้ว่ามา โยสิมิตี คราวทีี่แล้วผมขึ้นรถไฟ Amtrak ไปลงที่ Merced แล้วจึงนั่งรถโค้ชมี คนขับไปเล่าไปแบบนี้   จำได้ว่าเล่าเก่งกว่าคุณวอลเธอร์   ระหว่างทางถนนคู่ขนานไปกับแม่น้ำ Merced และมีสะพานข้ามแม่น้ำบ้าง   วิวสวยและสดชื่นมาก    

          ระหว่างทางขึ้นเขามีเมือง Mariposa (เป็นภาษาสเปน แปลว่าผีเสื้อ)   ที่เป็นเมืองเถื่อนสมัยตื่นทองซึ่งเริ่มตั้งแต่ คศ. ๑๘๔๘   คุณวอลเธอร์เล่าประวัติการพบทอง   แล้วคนเป็นหมื่นแห่กันมาร่อนและขุดทอง   และบริเวณนี้จึงกลายเป็นเมืองเถื่อน   และมีเรื่องราวของอินเดียนแดงที่อยู่ในป่าเขาตัดขาดจากคนขาว  ที่ในที่สุดก็มีคนมาพบโดยบังเอิญจนได้  และรบกัน อินเดียนแดงก็แพ้ เพราะอาวุธมันต่างกันคนละชั้น  เขาเล่าให้เห็นว่าหัวหน้าเผ่าเป็นคนกล้าหาญและเสียสละ   บอกให้ลูกน้องหนีไป โดยตัวเองไปหาทางเจรจากับกองทัพคนขาว

          ใกล้เขตภูเขา ถนนก็ยังไม่มีแม่น้ำ Merced คู่ขนาน   ผมบอกสาวน้อยว่ามาคราวที่แล้วรถโค้ชที่นำทัวร์มาจาก Merced วิ่งไปตามถนนที่ขนานไปกับแม่น้ำ Merced ทำให้วิวสวยมาก   ไปอีกระยะหนึ่งคุณวอลเธอร์ก็บอกว่าคนนั่งฝั่งซ้ายให้เตรียมถ่ายรูป   ในทริปก่อนๆ มีคนถ่ายจนหมดแรง   โชคดีที่ส่วน้อยขึ้นมาจองที่นั่งฝั่งซ้ายได้โดยบังเอิญ

          ในที่สุดก็มาถึงบริเวณที่ถนนขนานไปกับแม่น้ำ Merced และน้ำในแม่น้ำยังมีอยู่พอสมควร   น้ำนี้มาจากหิมะละลายบนยอดเขา   และช่วงนี้เป็นปลายฤดูร้อนต่อฤดูใบไม้ร่วง   หิมะละลายหมดแล้ว และน้ำก็ไหลลงมาแล้วเป็นส่วนใหญ่  แต่ก็โชคดีที่ตอนนี้ยังมีน้ำ

          เราโชคดีที่ช่วงที่มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่สร้างหลบหินและดินถล่ม เป็นสะพานเหล็กรถเดินทางเดียว   รถไม่มาก รอสัก ๑๐ นาทีก็ได้ข้าม  เขาบอกว่าหากรถมากรอเป็นชั่วโมง   รถแล่นฝั่งตรงข้ามไปหน่อยเดียวก็ข้ามสะพานแบบเดียวกัน กลับมาวิ่งทางเดิม  

          เข้าอุทยานตรง Arch Rock Entrance  ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของอุทยาน   คือรถโค้ชคันใหญ่แล่นมุดผ่านช่องในก้อนหินก้อนใหญ่   แต่เราไม่เห็นอะไรเพราะอยู่บนรถ ไม่ได้แวะลงชม  ซึ่งเข้าใจว่าเป็นจุดกำหนดให้แวะชม   แต่คุณวอลเธอร์บอกว่าหยุดไม่ได้  

          เขาพาหยุดชมวิวตรง Tunnel View Stop ที่ถือเป็นสุดยอดของวันนี้   ที่เห็นยอดเขา El Capitan, Half Dome และอื่นๆ   เป็นหมู่ยอดเขาหิน   แล้วในที่สุดเขาก็ไปจอดให้คนลงที่จุดหมายเลข ๘ ซึ่งเป็นบริเวณของ Yosemite Lodge at the Falls   นักท่องเที่ยวที่มาพักส่วนใหญ่พักที่นี่   แต่เราพักที่ Ahwahnee Hotel ต้องนั่งรถ Shuttle ซึ่งให้บริการฟรี ไปยังจุดที่ ๑๐ แล้วเดินข้ามถนนไปขึ้นรถที่จุดหมายเลข ๒ ไปยังจุดที่ ๓ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Ahwahnee Hotel   ตอนคลำหาทางไปก็เงอะงะ  ไปเข้าครั้งหนึ่งก็จับทางใด้  และเห็นความสะดวกของการมีรถ Shuttle วิ่งวนให้บริการหลากหลายเส้นทาง ไปยังจุดสำคัญต่างในในอุทยานส่วนที่เป็นหุบเขา    โดยกำหนดให้รถส่วนบุคคลมาจอดตรงที่จอด   เข้าไปขับเพ่นพ่านในอุทยานไม่ได้   ระบบนี้ใช้มาราวๆ ๔๐ ปีมาแล้ว   ตอนเริ่มใหม่ๆ คนโวยวายกันมาก   ผมชอบที่คนขับรถทำหน้าที่คล้ายๆ ไกด์ คอยประกาศและตอบคำถามไปในตัว

          เท่ากับเรามาพักในหุบเขาของ Yosemite National Park   มาเที่ยวอย่างสะดวกสบายมาก   สารพัดจะมีบริการอำนวยความสะดวก

          คนที่มาเที่ยวที่นี่มาพักผ่อนด้วยเป้าหมายหลากหลาย   แต่ที่คึกคักที่สุดคือมาใช้ชีวิตกลางแจ้ง   ได้แก่มาเดินป่า  ขี่จักรยานเที่ยว (มีให้เช่า)  พายเรือเล่น  ล่องเรือ  ปีนเขา   เขามีบริการศึกษาธรรมชาติ  และศึกษาประวัติศาสตร์   เพราะบริเวณนี้คนอินเดียนแดงอยู่กันมา ๔,๐๐๐ ปี   มีวิวัฒนาการทางศิลปะ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ที่เหมาะสมกับความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่   เมื่อคนขาวเข้ามาเพราะตื่นทอง สังคมอินเดียนแดงก็ล่มสลาย

          ชีวิตของผมเป็นชนส่วนน้อยอยู่ร่ำไป   เรามาพักผ่อน ซึมซับธรรมชาติ และเรียนรู้ว่าอเมริกาเขาจัดอุทยานแห่งชาติให้ เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และธรรมชาติยั่งยืนได้อย่างไร   

          หลังจาก เช็ค-อิน เข้าไปนั่งพักที่ห้องสักครู่ เราก็ออกไปนั่งรถ Shuttle   ไปที่ Yosemite Visitor Center and Theater ที่จุด ๔   ชมพิพิธภัณฑ์แสดงการเกิดพื้นที่บริเวณโยสิตี ตั้งแต่ยุคน้ำแข็งจนถึงยุคค้นพบพื้นที่โดยคนขาวและออกกฎหมายให้เป็นอุทยาน เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติเป็นพื้นที่แห่งแรกของประเทศ  ก่อน Yellowstone ที่จดทะเบียนเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศเสียอีก  ได้ดูหนังเรื่อง The Spirit of Yosemite ที่เราชมเสีย ๓ รอบ คือบนรถขามาและขากลับ และที่เป็นจอใหญ่เสียงดีก็ที่ Theater นี่แหละ   ผมไปเดินชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่บ้านอินเดียนแดง   แต่สาวน้อยหมดแรง ขอนั่งพัก   ผมเดินดูคร่าวๆ แล้วกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม   โดยไปนั่งเล่นที่สนามหญ้าที่สงบเงียบ แทบไม่มีคน  มีเพื่อนคือกระรอกกับกวาง   และลำธารที่อยู่ใกล้ๆ

          บุคคลสำคัญที่สุดของการก่อเกิด Yosemite National Park น่าจะได้แก่ จอห์น มิวร์ (Jonh Muir)  ผู้ได้รับวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรค จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๑ ปี  หมอแนะนำให้ไปอยู่ในที่อากาศดีบนเขา   เขามาอยู่และหลงใหลเสน่ห์ของพื้นที่   ออกไปปีนเขาและสำรวจพื้นที่ทุกวัน  มีชีวิตต่อมาอีกกว่า ๔๐ ปี 

 

วิจารณ์ พานิช
๗ ก.ย. ๕๔
InterContinental Hotel, San Francisco

ส่วนหนึ่งของดงกังหันลม ระหว่างทางจากซานฟรานซิสโกไปโยสิมิตี


 

ระหว่างทางพื้นที่เต็มไปด้วยหิน Tombstone และหิน Basalt


 

ถนนเลียบไปตามแม่น้ำ Merced


 

สาวน้อยที่ Tunnel Point View


 

วิวแม่น้ำกับนักท่องงเที่ยวพายเรือเล่น


 

สาวน้อยกับ จอห์น มิวร์


 

พิพิธภัณฑ์กลางแจ้าหมู่บ้านอินเดียนแดง


 

 เครื่องสานหวายอินเดียนแดง ละเอียดประณีตน่าประทับใจ


 

แสดงบ้านของหญงผู้เฒ่าทรงภูมิปัญญาอินเดียนแดง เป็นทั้งหมอและนักสานเครื่องใช้


 

 สาวน้อยนั่งหมดแรงอยู่ในสวนหลังโรงแรม Ahwahnee


 

 กวางเดินมาทักทาย


 

กระรอกก็มา


 

พอเริ่มฟื้นแรงก็ไปถ่ายรูปที่ลำธารยามเย็นแดดกำลังสวย


 

 อีกมุมหนึ่งของลำธาร


 

หมายเลขบันทึก: 463252เขียนเมื่อ 30 กันยายน 2011 14:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ภาพสวยและสะอาดดีมากเลยครับ

  • ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ อาจารย์

บันทึกภาพงามใสใช้ถ่ายทอด          เป็นสุดยอดบทความนำสื่อสาร

ถอดเป็นธัมม์นำใช้สืบสารธาร          ธัมม์เกิดพลันเคยตั้งอยู่สู่ดับไป

เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปใช่เที่ยงแท้         เกิดเปลี่ยนทุกเวลาน่าใจหาย

หากหลงเพลินประมาทอาจวางวาย   คงจะสายเสียค่าเวลาคน

เกิดเปลี่ยนแปรทุกเวลาน่าใจหาย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท