ผู้ปกครองที่รัก
“ผู้ปกครอง” ในเรื่องราวที่จะคุยกันในที่นี้ จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ ต้องเป็นผู้ปกครองนักเรียนและขอตีกรอบแคบเข้ามาอีกนิด คือ เป็นพ่อหรือแม่ของนักเรียน หรือบุคคลที่ทำหน้าที่เสมือนพ่อหรือแม่ จะไม่หมายรวมผู้ที่เพียงทำหน้าที่ลงนามในหนังสือราชการจากโรงเรียนเท่านั้น
โดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 บุคคล ครอบครัว ชุมชน และทุกองค์กรในสังคม ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเพื่อบุตรหลานอย่างมีคุณภาพ ในหน่วยปฏิบัติการจัดการศึกษาที่เรียกว่า “โรงเรียน” ก็จะมีความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่มุ่งสร้างสรรค์งานพัฒนา “นักเรียน” เป็นเป้าหมายร่วมกัน โรงเรียนจึงเสมือนเป็นหน่วยผลิต มีผลผลิตที่มีค่าดัง “อัญมณี” ที่จะพาสังคม ชุมชน ประเทศชาติ ตลอดจนโลกใบนี้ให้สว่างสุกใสด้วยความอบอุ่น และสงบน่าอยู่ ... นี่เป็นคำบรรยายที่หลายคนร่วมฝันและร่วมสร้างอย่างมีความหวัง แต่ก็คงจะมีคนอีกจำนวนมาก ไม่เคยคิดที่จะฝันด้วย เพราะกระแสข่าวสารรอบตัวทุกวันนี้ มีความรุนแรงของปัญหานานัปการ ทั้งปัญหาคุณภาพโรงเรียน ความรับผิดชอบของผู้ปกครอง และการซ้ำเติมด้วยความก้าวหน้าทางวัตถุที่มีหลุมพรางเชิงธุรกิจ คอยลอกล่อให้นักเรียน ผู้ปกครอง และไม่เว้นแต่ครูก็ก้าวพลาดมากมาย ปัญหาสังคมจึงกลายเป็นวงจรวิบากที่เกี่ยวพันจนไม่สามารถหาต้นทางที่จะแก้ไข สุดท้ายมีข้อสรุป “ใครไม่โกงกลายเป็นคนเสียเปรียบ” เป็นสังคมที่แข่งกันฉ้อโกง ต่างทำร้ายกัน
แต่ ณ ทางสองแพ่งนี้ หลักสัจจธรรม “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” เป็นทางออกที่ประกันความอยู่รอดของสังคม และประเทศชาติอย่างแน่นอน
กลับเข้ามาดูในโรงเรียน ภายในโรงเรียนบุคคลสำคัญที่กำลังทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ คือ “ผู้ปกครอง และ ครู” เราต่างเป็นหุ้นส่วนในความสำเร็จของ ลูก และ ศิษย์ของเรา โรงเรียนไม่จำเป็นต้องทำวิจัยศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองอย่างที่พบในเกณฑ์การประเมินระดับชาติเพราะ โรงเรียนไม่ใช่หน่วยบริการทางธุรกิจที่จะหาผลประโยชน์จากผู้ปกครอง ผู้ปกครองไม่ใช่ผู้มารับบริการหรือลูกค้า เป็นความเข้าใจผิดของการมอง “โรงเรียน” และใช้กระแสความคิดทางธุรกิจมากำหนด แต่ทั้งนี้ก็มีเหตุการณ์ความเข้าใจเช่นนี้ในบางโรงเรียนที่มีผู้ปกครอง “เรียกร้อง” แล้วครูก็ “สนองความต้องการ” จากนั้นผู้ปกครอง “เรียกร้องเพิ่ม” จนถึงจุดหนึ่งที่ครู “สนอง” ไม่ได้ สถานการณ์เช่นนี้ เป็นความขัดแย้งที่พบ ผู้เสียหายคือ “นักเรียน” และส่งผลให้วัฒนธรรมไทยของความเป็นครู-ศิษย์ เปลี่ยนไปเป็น “คนขาย” และ “คนซื้อ”
การทำงานเพื่อนักเรียนเป็นสำคัญ หุ้นส่วนความรับผิดชอบฉบับย่อที่สุด คือ ครู-ผู้ปกครอง ทั้งสองมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันและประสานกันให้เกิดผลผลิตที่มีคุณค่าดังอัญมณีได้อย่างไร ลองมาพิจารณา
ครู มีหน้าที่กำหนดโดยหลักปฏิบัติของวิชาชีพครู มีจรรยาบรรณกำกับบทบาทให้ครูทำงานแบบมืออาชีพ ครูอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์การทำงานในระบบการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีมาตรฐาน ครูจะได้รับการพัฒนา อบรม นิเทศ ยกย่อง เลื่อนฐานะ ... ตามจังหวะการปฏิบัติงาน
ผู้ปกครอง มีหน้าที่กำหนดโดยฐานะของความเป็น แม่หรือพ่อของนักเรียน หลักการปฏิบัติของผู้ปกครองเป็นไปตามความเข้าใจ ความพอใจส่วนบุคคล ไม่มีระบบคุณภาพ ไม่มีจรรยาบรรณมากำกับ มีแต่หลักธรรมตามคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ และกฎหมายเมื่อถึงขั้นมีข้อพิพากษ์
การทำงานร่วมกันของ ครู-ผู้ปกครอง จึงมักเริ่มต้นที่ครูก่อน ครูจะชี้แจงให้รายละเอียดเรื่องต่างๆ ด้วยการประชุมผู้ปกครอง พบปะ-พูดคุยกับผู้ปกครองเป็นรายบุคคลตามความสะดวก และตามความจำเป็น
ผลความร่วมมือพิจารณาได้จากนักเรียนเป็นรายบุคคล ดูความเจริญกาย เจริญจิต และเจริญปัญญา โดยธรรมชาติของนักเรียนมีความแตกต่างที่ผู้ปกครองและครูต่างรับรู้ เข้าใจ ความสำเร็จที่พบจึงเป็นทักษะการทำงานร่วมกัน ที่เกิดจากการเรียนรู้ ของ ครู-ผู้ปกครอง ความร่วมมือของ ครู-ผู้ปกครองที่สำคัญที่สุด คือ สร้างแหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิตเพื่อชีวิตที่ดีให้ลูกศิษย์
นักเรียนจะเรียนรู้และสร้างวินัยได้ทั้งอยู่บ้าน และ อยู่โรงเรียน เรียนรู้หลายอย่างที่แตกต่างกันจากบ้านกับผู้ปกครอง เรียนรู้อีกมากมายจากที่โรงเรียน เด็กได้รับการพัฒนาปัญญา พัฒนาการใช้เหตุผลและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
จากชีวิตจริง เราได้ตัวอย่างบทเรียนมากมาย และคงเป็นการเรียนที่ไม่รู้จบตามสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นบทสรุปที่โรงเรียนได้จากผู้ปกครอง คือ พลังความร่วมมือของผู้ปกครอง ให้ตัวอย่างบทเรียนที่มีค่าแก่ครูและผู้ปกครองด้วยกันเอง ผู้ปกครองสามารถนำไปใช้กับตนเอง ส่วนครูได้โอกาสชวนกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเชื่อมโยงการเรียนรู้ที่ทันสมัยทันเหตุการณ์ตามสภาพจริงในสังคม
ผู้เขียนมีความสนใจ และประทับใจที่ได้เรียนรู้การดูแลลูกและสอนศิษย์จากการคุยกับผู้ปกครองและครูหลายคน ขอถือโอกาสถ่ายทอดความรู้ที่ได้สัก 5 ประเด็น ดังนี้
สังคมปัจจุบัน คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียเวลาไปกับการแสวงหาความเจริญทางวัตถุ จนลืมความเจริญทางจิตใจ มองข้ามความละเอียดอ่อนในจิตใจของคนรอบข้าง โดยเฉพาะลูก ปัญหาที่ตามมา จะขยายจากบ้านไปสู่สังคมและก่อความเสียหายได้ สำหรับเรา โรงเรียนพร้อมเป็นบ้านที่สอง ความเป็นหุ้นส่วนที่เข้มแข็งของผู้ปกครองและครู เราจะเดินไปพร้อมกันเพื่อ ลูกและศิษย์ ให้เขาเติบโตพร้อมเป็นกำลังดูแลตนและสังคมต่อไป
ความเจริญเติบโตด้านร่างกายต้องควบคู่ไปกับด้านจิตใจ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูต้องมีความเข้าใจและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกหรือลูกศิษย์ เพราะเด็กจะซึมซับทุกพฤติกรรมที่ผู้ใหญ่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วกระทำพฤติกรรมเช่นนั้นออกไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังคำกล่าวที่ว่า อยู่กับคนเช่นใดย่อมเป็นคนเช่นนั้น ถ้าแม่แบบไม่ดีแล้วก็จะพิมพ์ออกมาไม่ดีเช่นกัน สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การให้ความรัก ความเอาใจใส่ หลักสำคัญที่จะทำให้เด็กเจริญเติบโตหรือพัฒนาทางด้านจิตใจ อย่างเห็นได้ชัดคือ การที่เด็กสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ด้วยตนเอง มีเหตุ มีผล สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องการเวลาและการฝึกฝนอย่างจริงจัง
เห็นด้วยกับบทความของอาจารย์อย่างซาบซึ้ง ด้วยปัจจุบัน ข้าพเจ้าทำงานที่ต้องดูแลปัญหาพฤติกรรมเด็ก จากประสบการณ์จะเห็นได้ชัดเจนว่า หากบ้านใดที่ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงเด็กในอีกขั้น บ้านนั้นจะค่อนข้างมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมเด็กไปในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ก่อนอื่นคือผู้ปกครองยอมรับในข้อจำกัดของเด็ก มีทัศนคติที่ดีในการช่วยจัดการพฤติกรรมที่เป็นปัญหา รวมถึงมีความจริงจังหนักแน่นในกฎ-กติกา และอยู่บนพื้นฐานของความเมตตาควบคู่กันไป