ภาพเหตุการณ์ภัยพิบัติจากวาตภัย ส่วนหนึ่งแค่เพียง ๑ ใน ๑๐๐ ที่ได้รับความเสียหาย มากบ้างน้อยบ้างอย่างทั่วถ้วน ในเขตพื้นที่ตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
โซนบก ๔ อำเภอบนคาบสมุทรสทิงพระ เจอวาตภัยที่รุนแรงเกินกว่าพายุดีเพรสชั่น และร้ายแรงเป็นครั้งแรกในรอบร้อยปี ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ พายุถล่ม บ้านเรือนพังเสียหาย ต้นไม้โค่นล้มเต็มพื้นที่ ชาวบ้านเจอสภาพบ้านเรือนพังเสียหายทั้งหลัง หลังคาเปิดโล่งทั้งหลัง จนถึงบางเบาเล็กน้อย หลังคารั่วไม่มีที่ซุกหัวนอนยามฝนตกตอนกลางคืน ขณะนี้ชาวบ้านที่ยากจน และลำบากอยู่แล้ว หลายสิบครัวเรือน(หรือนับร้อยครัวเรือนหากสำรวจกันให้จริงจัง)ที่ยังต้องอาศัยนอนในวัด บ้านญาติ หรือบ้านเพื่อนบ้าน คอกเลี้ยงสัตว์เสียหาย เรือนข้าวพัง-หลังคารั่ว จากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับจังหวัดสงขลาในช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ทั้ง ๒ โซน ๒ ทุกข์ภัย โซนเหนือ และเมืองหาดใหญ่ เจอสภาพปัญหาฝนตกหนัก ทำให้น้ำท่วมพื้นที่น้ำป่าไหลหลากอย่างรวดเร็ว ดินถล่ม น้ำท่วมเมืองหาดใหญ่สูงมากถึง ๔ เมตร สูงกว่า ปี ๒๕๑๘ ๒๕๓๑,๒๕๔๓ และปี ๒๕๔๘ ทั้งๆที่มีคลองระบายน้ำถึง ๔ สาย โซนบก ๔ อำเภอบนคาบสมุทรสทิงพระ เจอวาตภัยที่รุนแรงเกินกว่าพายุดีเพรสชั่น และร้ายแรงเป็นครั้งแรกในรอบร้อยปี ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ พายุถล่ม บ้านเรือนพังเสียหาย ต้นไม้โค่นล้มเต็มพื้นที่ ชาวบ้านเจอสภาพบ้านเรือนพังเสียหายทั้งหลัง หลังคาเปิดโล่งทั้งหลัง จนถึงบางเบาเล็กน้อย หลังคารั่วไม่มีที่ซุกหัวนอนยามฝนตกตอนกลางคืน ขณะนี้ชาวบ้านที่ยากจน และลำบากอยู่แล้ว หลายสิบครัวเรือน(หรือนับร้อยครัวเรือนหากสำรวจกันให้จริงจัง)ที่ยังต้องอาศัยนอนในวัด บ้านญาติ หรือบ้านเพื่อนบ้าน คอกเลี้ยงสัตว์เสียหาย เรือนข้าวพัง-หลังคารั่ว ข้าวบนลอม(ยุ้ง)งอกเสียหาย
ศูนย์การเรียนรู้“ภูมิปัญญาชาวบก” ซึ่งได้ก่อตัวและก่อตั้ง ปลูกสร้างอาคารด้วยทุนส่วนตัวที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบจากเงินเดือน และเงินได้ + กับเงินบำเหน็จที่ได้จากการออกจากราชการก่อนกำหนด หวังตั้งใจในการทำศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบก เพื่อใช้เป็นที่รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชาวชุมชนบนคาบสมุทรสทิงพระ โดยเน้นการใช้ทุนทางธรรมชาติการเกษตรในวิถีชีวิตของชุมชนที่เกี่ยวเนื่องกับ โหนด-นา-เล ของคนบนคาบสมุทรสทิงพระ ทั้ง ทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรบุคคล ที่เป็นภูมิปัญญาของชุมชน “ชาวบก” ที่สั่งสม และสืบทอดกันมานานหลายชั่วคน โดยการรวมกลุ่มกันเพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และร่วมกันแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของท้องถิ่น ให้เป็น เครื่องอุปโภคบริโภค โดยยึดหลัก ภูมิปัญญาไทย “เศรษฐกิจแบบพอเพียง” เพียงสร้างอาคารการเรียนรู้แล้วเสร็จตามปณิธาณ ราวๆปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓แต่ยังไม่ได้ทำการ..แค่เพียงเริ่มต้นดันมาเจอภัยพิบัติจากวาตภัยเมื่อคืนวันที่ ๑ พฤศจิกายน ในปีเดียวกัน ทำให้อาคารประสบความเสียหายยับเยินดังภาพที่เห็น
สภาพอาคารของศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบก ที่ได้รับความเสียหายจากวาตภัย จะต้องรีบจัดการตนเองโดยการสำรวจความเสียหายเบื้องต้น รีบจัดการหาวัสดุ และพรรคพวกเครือข่ายช่างที่พอมีฝีมือ และน้ำใจมาช่วยซ่อมแซมเป็นการด่วนหลังพายุสงบเป็นที่เรียบร้อย และเตรียมการณ์ใช้อาคารของศูนย์ฯ เปืดเป็นศูนย์ประสานช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ต่อไป
ปี 2554 จะมีพายุอีกไหมนะ จะเตรียมรับอย่างไร
บอกไม่ได้ว่ามาอีกม่าย..แต่การเตรียมรับมีแน่และต้องมานั่งคุยร่วมกันหลายฝ่ายทั้งชาวบ้าน,ท้องถิ่น,และภาคราชการ ..แต่ที่สำคัญต้องย้อนนึกระลึกถึงเรื่องภูมิปัญญาแล้วนำมาประยุกต์เป็นองค์ความรู้ใหม่ในการจัดการตนเองก่อนเป็นเบื้องต้น เช่น คิดพึ่งตัวเอง และพึ่งพากันเองในชุมชนก่อนอย่าคร่าวให้ใครมาช่วยเพราะต่างคนต่างได้รับเหมือนๆกัน,ทำงานแล้วเก็บออม,เตรียมเสบียงสิ่งของที่เป็นปัจจัยหลักไว้ให้เพียงพอ,ตื่นตัวติดตามรับฟังข้อมูลข่าวสารจากสื่ออย่างวิเคราะห์อย่าเชื่อข่าวลือ,