เดวิด check-in ห้องพัก และขึ้นไปบนห้องพักพร้อมกับพวกเรา ด้วยความเป็นผู้หญิงทั้งสามคนก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าเดวิดขึ้นมาบนห้องเราทำไม เดวิดเข้ามาพูดคุยแนะนำโปรแกรมที่จะพาพวกเราไปเที่ยวซึ่งพิมพ์อย่างเป็นทางการมากมาให้ดู พวกเรารู้สึกทึ่งมากไม่นึกว่าเดวิดจะพิมพ์ออกมาอย่างเป็นทางการขนาดนี้เพราะพวกเราตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมเดวิดแค่เจอกัน ทำความรู้จักกันเท่านั้นส่วนเรื่องการไปเที่ยวในเบลเยี่ยมพวกเราตั้งใจไปเที่ยวกันเองเดวิดขอกุญแจห้องและบอกว่าเขาขอไปหยิบเอกสารที่รถประมาณ 5 นาที จากนั้นเดวิดก็ไขกุญแจเดินเข้ามาในห้อง แล้วนำเอกสารสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่จะพาพวกเราไปเที่ยวมาให้ดู เอกสารทั้งหมดที่เดวิดนำมาเป็นภาษาดัชต์ พวกเราอ่านไม่ออกแต่เดวิดบอกว่าดูรูปภาพเอาก็ได้ เดวิดถามพวก เราว่าเหนื่อยหรือเปล่าถ้าเหนื่อยก็พักผ่อนได้แต่ถ้าไม่เหนื่อยเดวิดจะพาไปเที่ยวชมเมืองบรัสเซลส์ พวกเราอยากใช้เวลาที่อยู่ที่นี่ให้คุ้มค่าจึงบอกเดวิดว่าไม่เหนื่อย เดวิดจึงพาพวกเราไปเที่ยว ก่อนออกจากห้องพักเดวิดบอกให้เอาเงินใส่กระเป๋ากางเกงไว้ และให้ระวังกระเป๋าของมีค่าทุกชนิด เดวิดเตรียมกล้องถ่ายรูปมาให้ด้วย แต่พวกเราบอกว่าเรามีแล้วทั้งกล้องวีดีโอ กล้องดิจิตอล กล้องถ่ายรูปธรรมดา เมื่อพร้อมแล้วพวกเราก็ออกเดินทางกัน
เมืองบรัสเซลส์ในยามนี้ไม่ค่อยมีผู้คนออกมาเดินเที่ยวตามท้องถนนมากนัก ผู้คนที่นี่หน้าตาไม่ยิ้มแย้มเลย และมองพวกเราด้วยสายตาแปลกๆ ร้านค้าต่างๆ ก็ปิดหมดทุกร้าน ฉันนึกในใจว่าวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดแท้ๆ ร้านค้าน่าจะเปิด ร้านค้าที่นี่คล้ายสยามสแควร์บ้านเรา ถ้าอยากดูอะไรก็เดินดูไปเรื่อยๆ ตามท้องถนน ถูกใจร้านไหนก็แวะเข้าไปดู อากาศในวันนี้หนาวมาก ลมพัดแรงมาก แล้วยังมีฝนตกอีกนิดหน่อย เดวิดพาพวกเราไป La Grand-Place (ลา กรองด์-ปลาซ) อาคารบริเวณ Grand-Place สวยงามมาก เป็นอาคารสไตล์ยุโรปโบราณ แกะสลักรูปปั้นได้วิจิตรงดงามมาก ส่วนใหญ่มีอายุสมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่บริเวณลานรอบๆ อาคารค่อนข้างแคบไม่ใหญ่โตเหมือนอย่างที่เคยเห็นในรูปภาพ และน่าเสียดายที่เวลานี้ไม่มีพรมดอกไม้มาปูให้พวกเราได้ดูกัน แต่ก็ยังมีร้านขายดอกไม้มาขาย 1 ร้าน กิ๊บชอบดอกทิวลิปเพราะดอกทิวลิปสวยงามมากๆ เดวิดบอกว่าให้ซื้อเมล็ดไปปลูกที่ประเทศไทย พวกเราบอกว่าอากาศที่ประเทศไทยร้อนมากคงปลูกไม่ขึ้น เดวิดบอกว่าน่าจะลองดูนะอาจจะปลูกขึ้นก็ได้ เดี๋ยวเขาจะพาซื้อเมล็ดที่ร้านขายดอกไม้ที่เมืองที่เขาอยู่ พวกเราก็พยักหน้าตกลง บริเวณ Grand-Place มีร้านขายช็อกโกแลตมากมายหน้าตาน่ากินมาก แต่เดวิดบอกว่าอย่าเพิ่งซื้อที่นี่ให้ไปซื้อที่เมืองที่เขาอยู่เพราะราคาถูกกว่าที่นี่มาก พวกเราจึงยังไม่ได้ลองชิมช็อกโกแลตกันเลยสักชิ้นเดียว....น่าเสียดายจัง พวกเราได้แต่มองช็อกโกแลตตาละห้อย เดวิดพาพวกเราเดินหลงทางไปมาในบริเวณ Grand-Place หลายรอบ เพราะเดวิดไม่รู้จักทางเหมือนกันเขาต้องดูแผนที่ประกอบการเดินด้วย จากนั้นเดวิดพาเราไปดูรูปปั้นเด็กยืนฉี่ (แมนเนเก้น พิส) ซึ่งตั้งอยู่ที่หัวมุมถนนเลทุฟตัดกับถนนแชน พวกเราแทบจะเดินเลยไปเพราะรูปปั้นเด็กยืนฉี่ตัวเล็กมากแทบจะมองไม่เห็น พวกเราถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอได้สักพักก็บอกเดวิดว่าอยากจะซื้อโปสการ์ดกับของที่ระลึก เดวิดก็พาเข้าไปซื้อในร้านขายของที่ระลึกบริเวณนั้น เราซื้อพวงกุญแจรูปเด็กยืนฉี่มา 2 อัน (อันละประมาณ 200 กว่าบาท) และโปสการ์ด 4 ใบ เดวิดคอยมาดูพวกเราซื้ออยู่ไม่ห่าง หลังจากนั้น เดวิดพาพวกเราไปกินข้าวกลางวันกันในร้านอาหารแห่งหนึ่งเดวิดสั่งสปาเกตตี้ ส่วนพวกเรา 3 คนสั่งอาหารเหมือนกันคือ Chick and Chip และสั่งเครื่องดื่มคือโคคาโคล่า อาหารที่พนักงาน เสริฟมาให้พวกเรานั้นมีปริมาณที่เยอะมากๆ พวกเรากินกันไม่หมด อาหารของเบลเยี่ยมก็อร่อยเหมือนกัน ราคาก็แพงมากๆ ราคาประมาณ 500 กว่า บาท ต่อ คน ต่อ 1 อย่าง โคคาโคล่าบ้านเราขายขวดละ 7 บาท แต่ที่นี่ขายขวดละ 70 บาท (ขวดเล็กกว่าบ้านเราอีก) หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วเดวิดจะพาพวกเราไปดูรูปปั้นเด็กผู้หญิงนั่งฉี่ แต่เดวิดไม่รู้จักทางเดินหลงไปหลงมาก็วนกลับมาที่เก่าอีกหลายครั้ง พวกเราจึงไม่ได้ดู เดวิดจะพาพวกเราไปดูโบสถ์ซึ่งอยู่ไกลมาก แต่พวกเราเดินจนเหนื่อยเมื่อยมากไม่ไหวแล้ว จึงบอกเดวิดว่าพวกเราไม่ไปดูโบสถ์แล้วขอกลับโรงแรมเพื่อไปพักผ่อนดีกว่า เดวิดจึงพวกเราเดินกลับโรงแรมที่พัก ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมมีผู้หญิงแต่ตัวด้วยผ้าคลุมหัวสีดำทั้งชุดประมาณ 3-4 คน เข้ามารุมล้อม ตามติดพวกเราไม่ยอมห่าง เดวิดต้องดุและไล่พวกคนเหล่านั้นจึงยอมไป เดวิดบอกว่าคนเหล่านี้จะเข้ามาขอเงินคนต่างถิ่นหรือบางทีก็จะเข้ามาขโมยเงินด้วย ทำให้พวกเรารู้สึกกลัวมาก เมื่อกลับมาถึงโรงแรมเดวิดก็เดินขึ้นไปส่งที่ห้อง นัดหมายเวลาพวกเราสำหรับวันพรุ่งนี้ และบอกกับพวกเราว่าให้ล็อคประตูห้องให้เรียบร้อย ใครมาเคาะประตูก็อย่าเปิด ถ้ามีใครมาทำอันตรายให้ตะโกนร้องเสียงดังๆ พอเดวิดก็กลับไปแล้ว พวกเราก็นอนหลับพักผ่อนกันหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน ฉันและน้องๆ ตื่นนอนกลางดึกกันหลายรอบช่วงเวลากลางคืนของที่นี่ช่างยาวนานมาก นอนเท่าไหร่ก็ยังไม่เช้าซะที
วันที่ 2 ของการเดินทางในประเทศเบลเยี่ยม พวกเราตื่นนอนประมาณตีห้าครึ่ง เพราะเดวิดนัดว่าจะมารับประมาณ 8.30 น. หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว พวกเราทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรม พนักงานโรงแรมในห้องอาหารมองพวกเราด้วยสาตาแปลกๆ หลังจากทานอาหารเช้าแล้วพวกเราก็ออกมาเดินเล่นบริเวณหน้าโรงแรม พวกเราสัมผัสได้ถึงอากาศที่หนาวเย็น อากาศวันนี้หนาวกว่าเมื่อวานมากขนาดใส่เสื้อผ้าหลายชั้นแล้วก็ยังหนาวมาก แต่ไม่มีหิมะเสียดายจังเลย พวกเราไม่กล้าไปเดินเล่นไกลจากบริเวณโรงแรมมากเพราะกลัวเดวิดมารับแล้วจะไม่เจอ เดินเล่นได้สักพักเดวิดก็มาถึงและขอโทษพวกเราที่มาช้าเพราะว่ารถติดมาก (เดวิดมาถึงเวลา 9.30 น. จริงๆ แล้วเดวิดนัดพวกเราเวลา 9.00 น. แต่พวกเราจำเวลาผิดไป) วันนี้เดวิดจะพาพวกเราไปเที่ยวที่อะโตเมี่ยม เดวิดพาพวกเราเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีบริเวณใกล้ๆ กับโรงแรม บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินมีช็อคโกแลตหน้าตาหน้ากินขายอีกแล้ว พวกเราต่างก็มองดูด้วยความอยากกินแต่ก็ไม่กล้าซื้อกินเพราะจำคำที่เดวิดเคยบอกว่าให้ไปซื้อแถวบ้านเค้าเพราะราคาถูกกว่า เดวิดพาพวกเราเดินไปที่ตู้ขายตั๋วหยอดเหรียญ แต่ดูเหมือนว่าเดวิดจะซื้อตั๋วหยอดเหรียญไม่เป็น จึงพาพวกเราเดินไปถามพนักงานขายตั๋ว ตัวของเดวิดเองไม่ต้องเสียเงินค่าตั๋วรถไฟเพราะเดวิดเป็นตำรวจสามารถขึ้นรถไฟได้ฟรี เดวิดไปถามซื้อตั๋วรถไฟให้พวกเราสามคนพอพวกเราถามว่าราคาเท่าไหร่เค้าก็บอกว่าไม่ต้องเค้าจะจ่ายให้เอง ทำให้พวกราเกรงใจมาก หลังจากซื้อตั๋วรถไฟเสร็จแล้วเดวิดพาพวกเราเดินไปรอขึ้นรถไฟ ระหว่างที่รอรถไฟพวกเราก็ถ่ายวีดีโอกันอย่างสนุกสนาน ส่วนเดวิดก็กางแผนที่ออกมาดู พวกเรารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้นั่งรถไฟใต้ดินของประเทศเบลเยี่ยม ผู้คนมารอขึ้นรถไฟเป็นจำนวนมาก ขบวนรถไฟมาถึงแล้วพวกเราเบียดเสียดผู้คนขึ้นไปบนรถไฟ ไม่มีที่ว่างให้นั่งคนเยอะมากเบียดเสียดกัน เดวิดเตือนให้พวกเราระวังกระเป๋าให้ดี รถไฟแล่นไปได้สักพักเดวิดบอกให้พวกเรารีบลง ฉันก็สงสัยว่าทำไมถึงเร็วจังฉันจึงถามเดวิด เดวิดบอกว่ายังไม่ถึงหรอกแต่พอดีเค้ามองไปเห็นพนักงานมาตรวจตั๋วแล้วเขายังไม่ได้เอาตั๋วไปแสตมป์จึงรีบลงที่สถานีนี้แล้วเอาตั๋วมาแสตมป์ก่อน พอรถไฟขบวนต่อไปมาถึงเดวิดก็พาพวกเราขึ้นคนก็เยอะอีกเช่นเดิม พวกเรามาถึงอะโตเมี่ยมแล้ว อะโตเมี่ยมมีขนาดใหญ่และสูงมาก อะโตเมี่ยมคืออะตอมเป็นสัญลักษณ์ของนิทรรศการโลกที่จัดแสดงโชว์ที่เมืองบรัสเซลส์ เดวิดถามพวกเราว่าจะดูอะโตเมี่ยมอย่างเดียวหรือจะเข้าไปเที่ยวมินิยุโรปด้วย ถ้าดูอะโตเมี่ยม อย่างเดียวก็ประมาณ 200 บาท แต่ถ้าดูมินิยุโรปด้วยก็ประมาณ 700 บาท (มินิยุโรคือเมืองจำลองสถานที่สำคัญของยุโรป) พวกเราจึงตกลงกันว่าจะดูอะโตเมี่ยมอย่างเดียว จากนั้นพวกเราไปรอขึ้นลิฟท์เพื่อจะไปที่วงกลมที่อยู่สูงที่สุดของอะโตเมี่ยม บนจุดสูงสุดพวกเรามองลงมาจากอะโตเมี่ยมมองเห็นวิวทิวทัศน์บริเวณตัวเมืองบรัสเซลส์และมองลงมาเห็นมินิยุโรปด้วย บริเวณจุดชมวิวของอะโตเมี่ยมจะมีกล้องส่องทางไกลไว้ให้ดูวิวทิวทัศน์ ในอะโตเมี่ยมจะมีพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชมด้วย พวกเราทั้งสี่คนก็เดินดูไปเรื่อยๆ จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับไปยังโรงแรมที่พักเพื่อเข้าห้องน้ำ และเตรียมตัวไปเที่ยวเมือง Leuven ซึ่งเป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัยกันต่อ เดวิดพาพวกเราขับรถยนต์ออกไปจากเมืองบรัสเซลส์เข้าสู่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เมื่อมาถึงเมืองLeuven เดวิดก็พาพวกเราไปกินข้าวกลางวันกันที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองนี้ ภัตตาคารแห่งนี้ดูหรูหรามาก
โปรดติดตามตอนต่อไป
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านเรื่องราวในบันทึกนี้ค่ะ
พร้อมกับมาติดตามเรื่องราวค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้นะคะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณต้นเฟิร์น
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ
ขอบคุณคุณต้นเฟิร์นนะคะที่ติดตามอ่านผลงานตลอดค่ะ
ขอขอบคุณท่านอาจารย์โสภณ ดร.พจนา และคุณช้างน้อยแมมมอธที่เข้ามาให้กำลังใจค่ะ
สิ่งไหนที่เราไม่เคยเห็นมักจะประทับเสมอ ในทุกสถานที่ ขอบคุณครับ ที่นำประสบการณ์ดีๆมาเเบ่งปันกันครับ
ขอบคุณคุณ Peter p มากค่ะ การท่องเที่ยวเบลเยี่ยมเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมากค่ะเพราะเป็นการไปครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ได้พบเพื่อนทางจดหมายต่างแดนที่แสนดีค่ะ
รอภาค 3 อยู่น๊ะ...... :)
ขอบคุณค่ะคุณช้างน้อยแมมมอธ จะพยายามเรียบเรียงออกมาให้เร็วที่สุดนะคะ