ความละอายใจพ่ายแพ้ความอยากได้


     เมื่อเร็วๆนี้  ครอบครัวผู้เขียนได้ต้อนรับครอบครัวครอบครัวหนึ่งซึ่งสามีเป็น

คนเกิดที่นี่แล้วไปมีครอบครัวสร้างบ้านอยู่ต่างเมือง  ซึ่งตอนหลังทราบข่าวว่า

มีอาการหลงลืมแล้ว  วันที่มานั้นท่านมาถามหาคุณพ่อ บอกว่ามาเยี่ยม คุณพ่อ

คุณแม่กุลีกุจอมาต้อนรับดีใจที่เห็นท่านมา  ผู้เขียนเองก็นึกชมภรรยาท่านว่า

ใจดีเหลือเกินพอท่านมีอาการหลงลืมก็รู้จักพาท่านมาที่บ้านเกิดเพื่อมารื้อฟื้น

ความทรงจำซึ่งถือเป็นการเยียวยาคนหลงลืมอย่างหนึ่ง(เมื่อก่อนภรรยาท่านไม่

เคยมาที่บ้านผู้เขียนเลยถ้ามาบ้านก็จะอยู่เฉพาะที่บ้านญาติเท่านั้นแต่วันนั้น

มาถึงบ้านผู้เขียนได้ )  ท่านก็คุยถามข่าวคราวกันไปพอสมควรแล้วภรรยาท่านก็

ถามคุณพ่อเรื่องอาการไม่สบายพร้อมกับแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผลไม้หลาย

ชนิดสกัดอยู่ในซองพร้อมทั้งได้ชงให้ชิมด้วย  บอกว่าจะช่วยให้อาการไม่สบาย

นี่ดีขึ้น  พร้อมทั้งชวนให้สมัครเป็นสมาชิกด้วย คุณพ่อเคยปฏิเสธรายอื่นที่มา

ขายในลักษณะนี้มาแล้วรายที่เคยมาเขาขายชุดละพันบาท ท่านก็คิดว่าน่าจะไม่

เกินพันบาท จึงคิดว่ายอมจ่ายเงินพันบาทด้วยการตกลงซื้อ๑ชุดแต่ไม่สมัครเป็น

สมาชิกหรอก เพราะหากไม่ซื้อเขาก็คงจะตื้ออยู่อย่างนั้นพอตกลงซื้อแล้ว

ปรากฏว่าเป็นเงินสามพันบาท  ตอนที่ท่านจะซื้อนั้นผู้เขียนไม่อยู่ไปทำงานแล้ว

เลิกงานแล้วท่านจึงเล่าให้ฟัง  ผู้เขียนเลยบอกคุณพ่อว่าช่างมันเถอะถือว่า

เอาเงินช่วยหลาน  ิ

        ที่ผู้เขียนว่าความละอายใจพ่ายแพ้ความอยากได้เพราะว่าภรรยาท่านนั้น

เป็นพยาบาลจะไม่รู้เชียวหรือว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณค่าทางอาหารเป็นอย่างไร

และจะดูไม่ออกเชียวหรือว่าราคาของผลิตภัณฑ์นั้นมันคุ้มค่าสมน้ำสมเนื้อกับ

ประโยชน์หรือ  ผู้เขียนเป็นพยาบาลดูก็รู้ว่าคุณค่าสู้กินอาหารไม่ได้แล้วราคา

หรือก็แพงมาก ก็เลยได้แต่ปลงว่าเออหนอความอยากได้นี่ ทำให้หมดความ

ละอายใจรู้ทั้งรู้ว่าประโยชน์น้อยนิดก็ยังเอามาแนะนำเสนอขายให้คนไม่สบาย

เขาซื้อกิน ผู้เขียนได้คุยกับคุณพ่อว่านี่ยังดีว่าเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ถ้าเขา

ไปเสนอขายให้คนป่วยคนอื่นที่เขามีรายได้ไม่มากนัก แล้วคนป่วยคิดว่าจะทำ

ให้เขาดีขึ้นแต่เขาไม่มีเงินซื้อเขาก็ต้องเป็นทุกข์ว่าถ้ามีเงินซื้อกินคงดีขึ้นนี่ไม่มี

เงินซื้อเลยต้องยังเจ็บป่วยอยู่ หรืออาจจะทำให้ลุกเต้าเขาเดือดร้อนซึ่งผู้เขียน

ว่าไม่ยุติธรรมเลย เป็นการทำนาบนหลังคนแท้ๆเลย  นี่แหละหนาความไม่รู้

มักจะเป็นเหยื่อของความอยากได้ของบางคน  ถึงแม้จะรู้อย่างคุณพ่อก็ยังเป็น

เหยื่อเพราะความเกรงใจ

        คนที่ขายนี่ก็ไม่มีความละอาย  เพราะพ่ายแพ้ความอยาก  อยากได้อยาก

ขายได้มากๆ  อยากได้สมาชิกมากๆเพื่อจะได้ค่าคอมมิชชั่นมากๆ แต่ผู้เขียนว่า

ถึงเขาจะได้เงินมากๆเขาก็ขาดทุนอยู่ดี เพราะผู้ที่ได้กำไรคือเจ้าของบริษัท

เขาแบ่งค่าคอมมิชชั่นให้ ก็เป็นเงินของญาติพี่น้องตัวเองที่ตัวเองไปเสนอสินค้้า

ที่แพงไม่สมเหตุผลไปขายให้  ตกลงตัวเป็นทาสเขารับใช้เขามาขูดรีดญาติพี่

น้องตัวเองยังไม่รู้ตัวอีก

         ผู้เขียนคิดลบเกินไปไหมคะ หรือจะปล่อยเป็นเรื่องเสรีใครใคร่ค้าก็ค้า

         ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ

หมายเลขบันทึก: 460674เขียนเมื่อ 15 กันยายน 2011 23:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 18:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะคุณสุภัทรา

  • กล้ามากนะคะ กล้าขายให้กับครอบครัวพยาบาลเนี่ยไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน ต้องเป็นประเภทที่อยู่ใต้โคลนแล้วมีก้อนหิทับไว้อีกที ถ้าเจออีกก็บอกญาติพี่น้องและประชาชนทั่วๆไปว่าไม่ต้องซื้อนะคะ นอกจากเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังเป็นการตายแบบผ่อนส่ง เพราะร้อยทั้งร้อยมีสารสเตียรอยด์ปนอยู่ ที่ซื้อแล้วก็ทิ้งเถอะค่ะ อย่ากินเลย
  • ขอบคุณที่นำมาเล่านะคะ อย่างน้อยๆผู้อ่านจะได้รู้และไม่หลงผิด นี่เป็นการทำบุญอีกทางหนึ่งของเราค่ะ
  • ขอให้น้องและครอบครัวสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะคะ
  • ขอบคุณอ.โสภณที่มาให้กำลังใจค่ะ
  • ขอบคุณคุณมนัสดาค่ะที่มาให้กำลังใจค่ะ
  • กล้ามากๆค่ะที่มาขายให้ครอบครัวพยาบาลก็เพราะความอยากได้ตัวเดียวนั่นหละค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับคำอวยพรค่ะ
  • ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงเช่นกันค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท