ยุดเถอะสาดอุดมสึกสาตัย (ตอน ๑)


อุดมศึกษาไทย (ยุดเถอะศาสตร์)  

 

            กว่าร้อยปีของการอุดมศึกษาไทยที่ผ่านมา  ดูเหมือนว่าดำเนินไปอย่างไม่เป็นระบบเท่าที่ควร  (ขณะที่เขียนนี้ พศ. ๒๕๔๕) จึงสักแต่ว่าเดินตามกระแสโลกไปอย่างเซื่องๆเท่านั้นเอง ส่งผลให้ไม่สามารถตั้งตัวทางวิชาการได้สักที ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่รำไป

            สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (ร. ๕) ทรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกล จึงส่งนักศึกษาออกไปแสวงหาความรู้จากนานาอารยประเทศ แต่จนบัดนี้เวลาล่วงมากว่าร้อยปีประเทศไทยก็ยังไม่สามารถยืนหยัดทางวิชาการบนขาตัวเองได้ ...

 

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ “คนไทยนั้นรักสนุก แต่ไม่ใคร่ชอบทำการ” ตามกระแสพระดำรัสของล้นเกล้า ร. ๕ ในครั้งกระโน้น

 

            วันนี้ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า..การ”ไม่ใคร่ทำการทางวิชาการ” ของเรานั้นส่งผลให้เราไม่สามารถตั้งตัวทางวิชาการได้สักที ...บ่อยครั้งเราทำตัวเป็น”ขอทานทางวิชาการ” ที่เที่ยวตะลอนถือกะลาทางวิชาการไปคุกเข่าขอความรู้จากประเทศต่างๆทั่วโลก ....แต่บ่อยครั้งเราก็ทำตรงกันข้าม ด้วยการทำตัวเป็น”อาเสี่ยทางวิชาการ” ที่จ่ายไม่อั้นที่จะให้นักวิชาการต่างแดนมาบงการเราให้ทำโน่นทำนี่ โดยหลอกให้เกียรติตนเองว่า..เป็นการ “จ้าง” ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิจากต่างประเทศมาให้ปํญญาแก่เรา  โดยเราทุ่มเงินจ้างนักวิชาการต่างประเทศมากหลาย..ทำราวกับว่าเราเป็นคนรวย ทั้งที่แท้เป็นคนจนแสนอนาถา

 

            ศาสนาพุทธ (ศาสนาประจำชาติไทย)  ได้สอนให้รู้จักพึ่งตนเอง ดังพุทธพจน์ที่ว่า อัตตาหิ อัตโน นาโถ (ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน)  แต่นักวิชาการไทยวันนี้ส่วนใหญ่ และนักวางนโยบายทางการศึกษา(ส่วนใหญ่)   มักคิดกันได้แต่การจะพึ่งนักวิชาการต่างชาติอยู่ร่ำไปและดูเหมือนว่าจะตลอดไป บางครั้ง..โดยบังเอิญ..เราก็เคยฉุกคิดกันได้บ้างเหมือนกันว่าเราต้องสามารถพึ่งตนเองได้ในเชิงอุตสาหกรรม แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เราเคยฉุกคิดกันได้ว่าเราต้องพึ่งตัวเองในเชิง”วิชาการ”

 

            แทนการขอทาน และ ขอซื้อความรู้ เราควรปรับบทบาทของเรามาเป็น”ผู้ผลิต”วิชาการ โดยมีอารยประเทศอื่นๆเป็น “หุ้นส่วนวิชาการ” แทนการเป็น ผู้บริจาคความรู้ หรือ ผู้ขายความรู้  ..ดีไหม?  ...ตอบ “ไม่ดี” เพราะผมตะโกนถามมาแต่พศ. ๒๕๓๕ ก็โดนรุมด่ามาจนหูชาจนถึงวันนี้..ส่วนใหญ่บอกว่าเราเป็นสมาชิกโลก จะอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ (ต้องเลียแข้งฝรั่งเท่านั้นจึงจะรอด)

 

ผมว่า..การขอทานความรู้เขาทั้งที่มีอาการครบ 32 และมีกำลังวังชาดีนั้น เป็นสิ่งที่น่าละอายมาก (เหมือนที่เรามักชอบด่าขอทานที่อาการครบ 32) นอกจากนั้นการขอทานวิชาการยังทำให้กล้ามเนื้อ(สมอง)ลีบตีบตัน ใช้ทำการอะไรก็ด้อยประสิทธิภาพไปหมด

 

            ก่อนอื่นคนไทยต้องพัฒนา”ความกล้า” ให้ถึงระดับที่จะผลิตความรู้ด้วยตนเองเสียที ซึ่ง ณ เวลานี้เรามีบุคลากรผู้ทรงความรู้ในสาขาวิทยาการต่างๆเป็นจำนวนมากพอแล้ว เราต้องรวบรวมความกล้าหาญทางวิชาการ และตั้งวิสัยทัศน์การศึกษาของชาติเราว่า..จะต้องเป็นอิสระทางวิชาการให้ได้ภายใน 20 ปีจากนี้ไป 

 

(ที่ผมเขียนข้างต้นนี้ผ่านมา 10 ปีแล้วนะ..ทวิช  ๒๕๕๔)

หมายเลขบันทึก: 459748เขียนเมื่อ 11 กันยายน 2011 04:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 20:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ชอบแนวคิดอาจารย์จังเลยครับ ...

ชอบจังค่ะ.. ได้ใจจัง.. อ่านเพลินเลยค่ะ.... ประกาศนะคะ ประกาศ >>> ถ้าใครพบท่านอาจารย์แบบที่กล่าวถึงนั้น กรุณาช่วยปักธงตั้งพิกัดไว้ใน google map ให้ด้วยค่ะ.. ว่าอยู่แถวไหนนะ..จะตามไปเรียนด้วย (แม้ว่าเป็นสาขาที่ไม่เกี่ยวข้องเราก็จะขอไปสมัครก่อนเลย อยากได้แบบนี้หน่ะ ) แต่ถ้าไม่ทันรุ่นเรา รุ่นลูกเราจะทันมั้ยคะเนี่ย.. คนไทยเก่งอยู่แล้วค่ะ.. เสียอย่างเดียวคือไม่รู้ว่าตัวเองหายใจได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องช่วยหายใจ.. ข้อนี้แหล่ะ สำคัญ.. ถ้าเปรียบเป็นคนไข้ก็ต้องเป็นพวกที่กล้ามเนื้อในการช่วยหายใจอ่อนแรง พวกนี้ต้องใช้วิธีการหย่าเครื่องค่ะ.. สร้างความมันใจ empowerment ให้เค้ารับรู้ว่าการหายใจเองไม่ใช่เรื่องยาก และ น่ากลัวเลย " คุณทำได้" แต่ถ้าไม่ไหวอาจต้องพึ่งพาการผ่าตัดเข้าช่วยค่ะ.. เป็นการผ่าตัดทั้งระบบ >> เอ๊ะ..ว่าแต่ว่า ใครจะกล้าเป็น ศัลยแพทย์คะ.. อิอิอิ

ท่านรัชนีครับ อย่าไปพึ่งศัลยแพทย์เลยครับ เรื่องแบบนี้ คนไข้ที่ฉลาด ต้องออกมา ระดมความกล้า หลอมรวมพลังใจ โฟกัสไปให้มันเผาผลาญความกลัวสะสมให้หลอมละลาย..ครับ ทำได้เมื่อไหร่เราก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ที่วิชาการทั้งหลาย ถูกครอบมาจาก "นอก" ทั้งสิ้น ส่วนของเราเอง ไม่มีอะไรเหลือหรอแล้ว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท