ย้อนไปเมื่อ..1 ปีที่แล้ว
โอ้,,,เเม่เจ้า ตอนนี้ฉันอยู่ปีสามเเล้วนะ เวลาผ่านไปเร็วยิ่งกว่าติดจรวด ซึ่งชีวิตของเด็กปีสามของดิฉันเป็นอะไรที่ทรมานมาก ฉันต้องมีความขยันเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่าเพราะปีสามการเรียนเข้มข้นขึ้นเเบบสุดๆ เริ่มเข้าวิชาเมเจอร์เเล้ว อะไร อะไรก็เลยยากขึ้น ดิฉันจำได้ว่าดิฉันต้องร้องไห้ไป อ่านหนังสือไป วันๆเเทบไม่ได้โงหัวออกจากหนังสือ กลับหอมาดึกกว่าจะเลิกเรียนก็สามทุ่ม พอเข้าหอมาอาบน้ำกินข้าวก้อปาเข้าไปสี่ห้าทุ่มเเล้ววว
เเล้วไหนต้องทำการบ้านอีก รีพอรด์แล๊ป เพลนเเล๊ป เเละการบ้านอื่นๆอีกเยอะเเยะมากมาย ไหนต้องอ่านหนังสืออีกล่ะ กว่าจะได้นอนก็ตีสอง ตีสาม ซึ่งเมื่อเทียบกับตอนที่เป็นปีหนึ่งเเล้ว มันเทียบกันไม่ติดเลยค่ะ เพราะตอนปีหนึ่งเรียนเเบบชิวๆ เล่นไปวันๆ หาได้มีสาระไม่ ตอนปีหนึ่งมัวเเต่เล่นเยอะไปหน่อยกรรมเลยตามสนองตอนปีสาม 55+ ซึ่งการเรียนปีสามเป็นการเรียนที่เก็บเกรดยากมาก แต่ล่ะวิชาหินสุดๆ (ถ้าน้องๆหรือเพื่อนคนไหนที่อ่านอยู่ ขอให้จำไว้นะค่ะ ว่ารีบเก็บเกรดตอนปีหนึ่งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่งั้นจะมาเหนื่อยตอนปีสอง ปีสาม เพราะเกรดเริ่มจะ น้อยลง น้อยลง ไม่รู้เพราะอะไร) ฉันจำได้ว่าตั้งเเต่ฉันเรียนมาปีหนึ่ง ปีสองเกรดที่ได้ต่ำสุดคือ C แต่มาพอปีสามฉันได้ D มาตัวเเรกในการเรียนของฉันคือวิชา เคมีคลินิก และได้ D+ วิชาโลหิต1 ซึ่งปกติเเล้วฉันเป็นคนเรียนพอใช้นะไม่ได้เก่งเเต่ขยัน(นี้ขนาดขยันเเล้วนะ คิคิ)
เมื่อก่อนฉันฝันไว้ว่าจะไม่ให้ตัวเองได้เกรด Dเลยจะพยายามไม่ให้มีในใบทรานสคลิปของฉัน ตอนนี้ฉันเปลี่ยนความคิดเเล้วว่า ผ่านมาได้ด้วย D ก็ดีเท่าไหร่เเล้วที่ไม่ติด F หน่ะ(เวลาเปลี่ยนความคิดก็เปลี่ยน 55+) สองวิชานี้ทำให้เพื่อนฉันหลายคนไม่ได้ขึ้นปีสี่มาพร้อมกัน ก็มันยากจริงๆนะในความคิดฉัน ตอนสอบสองวิชานี้ฉันคิดว่าฉันไม่รอดเเน่ๆเลย กลัวมากกลัวจะติดเอฟมากที่สุดในสามโลก เพราะถ้าติดเเล้วหมายถึงฉันต้องเรียนห้าปีโดยปริยาย ซึ่งฉันไม่อยากเรียนห้าปี ฉันอยากจบเร็วๆอยากไม่ดูแลแม่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเเม่ฉันอายุมากแล้วปีนี้ปาเข้าไป 62 ขวบเเล้ว(น่าเป็นห่วงมั๊ยล่ะ) แม่อยู่บ้านคนเดียว(คือพ่อกะเเม่เเยกทางกัน) ฉันเลยอยากจบเร็วๆจะได้ไปดูแลเเม่เพราะฉันคือความหวังเดียวของเเม่ ดังนั้นฉันจึงตั้งใจเรียน ขยันที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงฉันจะไม่ได้จบเกียรตินิยมแต่ก้อขอให้ฉันจบสี่ปีตามเเผนก็แล้วกัน ซึ่งเเมื่อมาเรียนปีสามเเล้วความรับผิดชอบชั่วดี มันก็มากขึ้นเป็นเท่าตัว ความรู้ก็มากขึ้น(รึป่าว 55+) ความรับผิดชอบก็ต้องมากขึ้นเพราะสายที่ฉันเรียนเราต้องไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นอีกมากมายในอนาคต เราต้องฝึกตัวเองให้มีความรับผิดชอบให้มากเพราะถ้าหากเรารับผิดชอบตัวเองไม่ได้เเล้วเราจะดูแลคนไข้ได้อย่างไร?(จริงมั๊ย) ดังนั้นฉันจะขยันเรียนให้มากขึ้น รับผิดชอบให้มากขึ้นเพื่อจะได้ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
(ข้อคิดสักนิด...การที่เรามาเรียนในทุกๆวันนี้นอกจากเราจะแบกกระเป๋า สมุด ปากกา มาเรียนเเล้ว เรายังเเบกความหวังของพ่อเเม่มาเรียนอีกด้วยนะจ๊ะ ดังนั้นจงตั้งใจเรียนเข้าไว้นะคร้า ขอเป็นกำลังใจให้แก่คนที่กำลังเรียนอยู่เหมือนดิฉันนะคร้า สู้ๆๆๆ )
ปล.จริงๆอยากเขียนมากกว่านนี้แต่ต้องไปอ่านหนังสือเเล้วจร้า ไว้จะมาแก้ไขเพิ่มเติมนะจ๊ะ
บันทึกเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 เวลา 23.40 น
ใช่ ๆๆๆ เราแบกความหวังของพ่อ แม่ มาด้วย
ซึ้ง T_T
ชอบบันทึกจากประสบการณ์อย่างนี้มากคะ น่าสนใจ และน้องเล่าได้ชวนติดตาม เห็นภาพการเรียนที่ทุ่มเท ที่น่าชื่นชม (เพิ่มไฮไลท์ให้) คือ
ความรับผิดชอบก็ต้องมากขึ้นเพราะสายที่ฉันเรียนเราต้องไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นอีกมากมายในอนาคต เราต้องฝึกตัวเองให้มีความรับผิดชอบให้มากเพราะถ้าหากเรารับผิดชอบตัวเองไม่ได้เเล้วเราจะดูแลคนไข้ได้อย่างไร?
รู้สึกดีใจแทนพ่อแม่มากที่มีลูกที่เข้าใจตนเองและสังคม ขอแสดงความยินดีล่วงหน้านะ ขอชื่นชม
ขอบคุณมากพี่ๆที่มาให้กำลังใจนะค่ะ ขอบคุณคร้าาาาา
ลุงมาตามให้กำลังจิต แต่ฝากข้อคิดนิดว่า การเรียนแบบ "อ่านหนังสือ" หนัก ๆ นั้นเป็นการเรียนที่ "ผิด" มากๆ เวลาลุงสอน ลุงมักบอกนศ. ว่า หนังสือเล่มหนา เขามีไว้ให้ถือเล่นโก้ๆ อวดสาว แต่ประโยชน์ที่แท้ของมันคือ เอาไว้เป็นหมอนรองนอนหนุนหัวใต้ต้นไม้ต่างหาก อิอิ
พ่อแม่เป็นห่วงลูกเสมอ อยากจะให้เรียนสำเร็จเร็วๆ
แต่ก็แล้วแต่สติปัญญาของลูกแต่ละคน เรียนจบแล้วก็ยังเป็นห่วงว่าลูกจะสอบผ่านใบอนุญาตให้ทำงานได้หรือไม่
ลองมาอ่าน ความเป็นเป็นห่วงของพ่อแม่ดูบ้าง
ฤา...จะปล่อยประโยชน์มหาศาลให้ห่างไกล
มาส่งความสุขด้วยปฏิทินชุด "รอยยิ้มของพ่อ" ค่ะ