ทำไมผมไม่ลาออก : สิ่งที่กล่าวหาไม่ใช่หน้าที่ของผม
จดหมายและข้อเรียกร้องในสื่อมวลชน ดังที่ลงในบันทึกเมื่อวาน ซึ่งอ่านได้ที่นี่ เป็นโอกาสที่ผมจะอธิบายแก่สังคมไทยว่าผมมีความเข้าใจหน้าที่กำกับดูแลองค์กรอย่างไร
โดยขอยืนยันว่า ข้อความในจดหมายแสดงว่าผู้เขียนไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับกติกาว่าด้วยหน้าที่กำกับดูแล (governance) และเข้าใจสับสนกับหน้าที่บริหาร (management)
คนที่ทำหน้าที่กำกับดูแล หากหลงเข้าไปทำหน้าที่บริหาร กิจการขององค์กรจะยุ่งเหยิงสับสนมาก หน้าที่ของฝ่ายบริหารคือทำให้กิจการสำเร็จ เป็นผู้ลงมือทำ ฝ่ายกำกับดูแลเป็นผู้กำหนดว่าให้ทำอะไร กำหนดเป้าหมาย และร่วมกับฝ่ายบริหารในการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อให้บรรลุผลที่กำหนด ฝ่ายกำกับดูแลไม่ใช่ฝ่ายลงมือทำ
ดังนั้นหน้าที่ในการเจรจาทำความเข้าใจกับ สกอ. จึงเป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่หน้าที่ของผมซึ่งเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย
และฝ่าย สกอ./กกอ. ที่มีหน้าที่เจรจากับมหาวิทยาลัยมหิดล ก็คือฝ่ายบริหารของ สกอ. คือเลขาธิการ กกอ. รองเลขาธิการ และผู้บริหารระดับล่างลงมา ไม่ใช่ผม ซึ่งเป็นประธาน กกอ. เป็นฝ่ายกำกับดูแล ไม่ใช่ฝ่ายปฏิบัติงานประจำ
นอกจากนั้น ในการทำหน้าที่ประธานของฝ่ายกำกับดูแล (ในที่นี้คือประธาน กกอ. และนายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล) นั้น ประธานคนเดียวไม่มีฤทธิ์เดชหรืออำนาจใดๆ จะมีอำนาจต่อเมื่อประกอบกันเข้าเป็นองค์คณะ ใช้อำนาจขององค์คณะลงมติ ดังนั้นประธานจึงไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ นอกเหนือจากการเรียกประชุมคณะกรรมการ
ในการทำหน้าที่กรรมการ กกอ. กรรมการแต่ละคนมีโอกาสเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะกรรมการแต่ละท่านต่างก็มีภารกิจหน้าที่คนละหลายๆ อย่าง เช่น บางคนเป็นอธิการบดี บางคนเป็นเจ้าของโรงเรียน และอีกหลายคน รวมทั้งผม เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย เราจึงมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรและถือปฏิบัติเคร่งครัดดังนี้
พ.ศ. 2547
-------------------------
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับนับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ 3 ประธาน และกรรมการหรืออนุกรรมการ ทุกคนยินดีปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะขององค์คณะ โดยเคารพและให้เกียรติกับกระบวนการทำงานของคณะกรรมการ/อนุกรรมการ รวมถึงการเสนอความคิดเห็นด้วยหลักเหตุผล เคารพเวทีการประชุม และยึดถือมติข้อตกลงของคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเป็นที่ตั้ง
ข้อ 5 ประธาน และกรรมการหรืออนุกรรมการ ทุกคนปฏิบัติหน้าที่โดยระบบคุณธรรมและมีประสิทธิภาพสูงสุด หลีกเลี่ยงมิให้เกิดความทับซ้อนหรือขัดแย้งกับผลประโยชน์ที่ ประธานและกรรมการหรืออนุกรรมการ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสถาบันอุดมศึกษา
ข้อ 6 ประธาน และกรรมการหรืออนุกรรมการ ผู้ใดที่มีความเกี่ยวพันกับสถาบันอุดม
ศึกษาหรือบุคคลใดซึ่งอยู่ในส่วนที่ กกอ. หรือคณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการ จะต้องพิจารณา ทุกคนยินดีที่จะปฏิบัติดังนี้
6.1 เปิดเผยแก่ คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ ถึงความเกี่ยวพันกับสถาบันอุดมศึกษาหรือบุคคลนั้น
6.2 ไม่เข้าร่วมพิจารณา ยกเว้นแต่จะได้รับการร้องขอให้เป็นผู้ให้ข้อมูลในฐานะ
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ โดยงดเว้นการใช้สิทธิออกเสียงใด ๆ
6.3 ละเว้นการปฏิบัติใดๆ ในลักษณะชักจูงหรือกดดันให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีการตัดสินใจที่อาจให้คุณหรือให้โทษในการพิจารณา
ข้อ 7 ประธาน และกรรมการหรืออนุกรรมการ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ เสียสละ อดทน ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส มีคุณธรรมและยุติธรรม
ข้อ 8 ประธาน และกรรมการหรืออนุกรรมการ ปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งมั่นที่จะใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการให้คำแนะนำ ให้ข้อวิจารณ์และทัศนะที่สร้างสรรค์ตามหลักวิชาการด้วยความเป็นกลางเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมส่วนรวมและการอุดมศึกษาของประเทศ โดยไม่หวังผลประโยชน์และการตอบแทนใด ๆ
ข้อ 9 ประธาน และกรรมการหรืออนุกรรมการ ต้องอุทิศตนและรักษาเวลาในการเข้าร่วมประชุม หากมีความจำเป็นให้แจ้งต่อประธานกรรมการ หรือฝ่ายเลขานุการเพื่อแจ้งที่ประชุมต่อไป
ข้อ 10 ประธาน และกรรมการหรืออนุกรรมการ ต้องรับผิดชอบในการรักษาความลับโดยเฉพาะกรณีที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ มีการประชุมลับ
ข้อ 12 ให้ประธานกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษารักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
(ศาสตราจารย์พจน์ สะเพียรชัย)
ประธานกรรมการ
คณะกรรมการการอุดมศึกษา
คณะกรรมการ กกอ. ชุดที่ทำหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน ได้มีมติให้ใช้ระเบียบนี้ด้วย
ดังนั้นเมื่อมีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยมหิดลเข้า กกอ. ผมจะเดินออกจากห้องประชุมทันที รวมทั้งเมื่อมีการพิจารณาเรื่องของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์เมื่อวันที่ ๑ ก.ย. ๕๔ ด้วย
ในการทำงานด้านกำกับดูแลของผม ผมจะหมั่นเตือนตนเองให้มุ่งทำงานที่สำคัญ ที่เกิดประโยชน์ภาพใหญ่และเชิงอนาคต คอยระวังไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องเชิงเทคนิค สิ่งที่จดหมายและข่าวเรียกร้องจากผม เป็นเรื่องเชิงเทคนิค ซึ่งผมไม่ทำ ส่วนหนึ่งเพราะเจียมตัวว่าไม่มีความรู้ และส่วนหนึ่งเพราะเคารพผู้มีความรู้ ในเรื่องเชิงเทคนิคเหล่านั้น
การทำหน้าที่กำกับดูแล มีธรรมชาติอยู่กับความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่โดยทั่วไปเราใช้หลักฐานเหตุผลในการเจรจา พิจารณา และลงมติ การใช้อารมณ์เป็นเครื่องมือบีบบังคับ เป็นเรื่องที่ผมไม่รับ อารมณ์เป็นสิ่งที่ดีต่อศิลปะและการสร้างสรรค์ แต่จะเอามาบีบบังคับการตัดสินใจเชิงกำกับดูแลหรือการบริหารงานจะไม่เหมาะสม ผมจึงหมั่นฝึกฝนให้รู้เท่าทันอารมณ์ ทั้งของตนเองและของผู้อื่น และไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของอารมณ์พลุ่งพล่านชั่วแล่น ผมเสียดายที่ไม่ใช่ฝ่ายบริหาร หากผมเป็นฝ่ายบริหารผมจะเอาเรื่องทั้งหมดที่เป็นเอกสารหลักฐานให้สื่อมวลชนเอาไปเผยแพร่เพื่อความรู้ความเข้าใจของสาธารณชน
เขียนอย่างนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าผมบอกคำตอบแล้วว่าทำไมผมไม่ลาออกตามคำเรียกร้องในข่าว แต่ถ้ายังมีคนไม่เข้าใจ ผมอธิบายต่อก็ได้ ว่าผมถือหลัก “รับฟังให้มาก รวมทั้งถ้อยคำที่ไม่พึงใจ” ผมฝึกฝนตนเองให้รับฟังผู้อื่น รับฟังความเห็นที่ต่าง ด้วยความเคารพ แต่ฟังแล้วผมจะไตร่ตรอง การตัดสินใจเป็นสิทธิของผม เพราะผมต้องเป็นผู้รับผิดชอบการตัดสินใจนั้น ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้เรียกร้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกร้องที่ใช้แต่อารมณ์ ไร้เหตุผล
วิจารณ์ พานิช
๒ ก.ย. ๕๔
ส่งกำลังใจหนึ่งมาถึงอาจารย์หมอนะครับ ;)...
ทำให้นึกถึง "ที่ว่าง"...
ที่ว่างอันเป็นที่ปลดปล่อยทางอารมณ์ เสมือนเป็นที่ปลดปล่อยระบายออกทางแห่งความทุกข์ที่บีบคั้นของผู้คน
จากถ้อยความจากจดหมาย...เห็นความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจ
และสภาวะที่อัดแน่นคล้ายระเบิด...อาจารย์คือ ที่ว่าง...ที่รองรับ
...
ด้วยความเข้าใจค่ะ
ในทางกฎหมาย เราจะให้ความสำคัญกับหลักการเรื่อง "ผู้มีส่วนได้เสีย" หรือ "ผลประโยชน์ทับซ้อน" ที่อาจส่งผลต่อความยุติธรรม
ในกรณีของการพิจารณาในคดีความหากผู้พิพากษาที่พิจารณาคดี มีส่วนได้เสีย หรือ มีเหตุใดๆอันจะส่งผลต่อความยุติธรรมในดคีนั้น ผู้พิพาษาท่านนั้น จะไม่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดี เพื่อเหตุแห่งความยุติธรรม การกระทำดังนี้ สอดคล้องกับหลักวิชาชีพนักกฎหมายครับ ซึ่งถือเป็นหัวใจของนักกฎหมาย
ในสาขาวิชาชีพอื่นๆที่มีการกระำทำใดๆอันส่งต่อความเป็นธรรม แนวคิดเรื่องการมีส่วนได้ส่วนเสียก็คงไม่ต่างกันกระมังครับ
ออกเถอะครับ คนมากมายคิดว่าท่านแก้ปัญหาไม่ได้ และในคำชี้แจงของท่านก็ไม่มีทางออกให้คนมหิดลเลย
อาจารย์ประเวศดูคนไว้ถูกจริง ๆ
เป็นสถานการณ์ที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยควรเรียนรู้ว่าตนเองควรมีบทบาทอย่างไร
ผมชอบแนวทางของอาจารย์นะครับ คือ รับฟังให้มาก ส่วนการตัดสินใจเป็นเอกสิทธิของเรา ผู้บริหาร สมัยผมเป็น รองอธก.วิชาการ ผมพูดเช่นนี้เสมอต่อที่ประชุมหลากหลายที่ได้เป็นประธานที่ต้องตัดสินใจในมากเรื่อง
สุดท้ายผมลาออกโดยไม่มีใครร้องขอ เพราะเบื่องานบริหารมากๆ (เขียนบลอกสนุกกว่าเยอะเลย :-) ยื่นใบลาออกห้าครั้ง ในเวลาหนึ่งปี ถูกยับยั้งทั้งหมด ครั้งที่หก นายท่านคงเบื่อเลยยอม ผมเลยเป็นไทแก่ตัวมาได้ ๙ ปีนี้แล้ว (แต่กลายเป็นทาสบลอก อิอิ)
ปล. อาจารย์คงจำมดต้วเล็กๆ อย่างผมไม่ได้แล้วหรอกครับ เราเคยเจอกันที่ออสเตรเลีย ขณะที่ผมไป "ดูงาน" ในคณะของสภาคณบดีบัณฑิตวิทยาลัยมหาลัยของรัฐ แล้วอาจารย์ก็ไปประชุมที่นั่นพอดี