คลื่นแห่งการให้อภัย


เมื่อเราถูกเพื่อนรักทำร้ายหรือทำไม่ดีกับเรา เราควรเขียนมันไว้บนผืนทราย ซึ่งคลื่นแห่งการให้อภัย จะทำหน้าที่พัดผ่าน และลบล้างไปหมดจนไม่มีเหลือ ตรงกันข้ามเมื่อเพื่อนได้ทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับเรา เราควรจารึกความดีงามของเขาเอาไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำ ซึ่งต่อให้คลื่นทะเลรุนแรงเพียงใด ก็ไม่สามารถจะลบล้างลงไปได้ และจะดำรงอยู่อย่างนั้นไปตราบนิรันดร์

 

 

 

 

 

 

สถานีความคิด :

คลื่นแห่งการให้อภัย

 

 

         

         

 

 

          สองกับหนึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน......วันหนึ่งทั้งสองคนได้พากันไปเที่ยวทะเลพร้อมกับเพื่อนๆ อีกหลายคน  ขณะที่อยู่ที่นั่น บางช่วงทั้งสองคนได้ถกเถียงกันอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจกัน
          คราวหนึ่งสองเผลอเอามือผลักจนหนึ่งถึงกับล้มลงไปกองอยู่บนหาดทราย
          หนึ่งรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกเพื่อนรักกระทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา  หากแต่ได้นั่งเขียนข้อความเอาไว้บนหาดทรายนั้นว่า
 

        “วันนี้  สองคงอารมณ์ไม่ดี เลยทำให้เขาเป็นเช่นนี้

แต่ฉันไม่โกรธเขาหรอกน่ะ”

        

         จากนั้น หนึ่งก็เดินไปหาสองที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว และทั้งสองคนก็พากันลงเล่นน้ำทะเลด้วยความสนุกสนานเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

         ทันใดนั้น หนึ่งก็เกิดตะคริวขึ้นอย่างกะทันหัน จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และกำลังจมน้ำทะเล 

         สองเห็นดังนั้น ก็รีบว่ายน้ำเข้าไปช่วยเหลือหนึ่งอย่างไม่คิดชีวิต ท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนๆ   ทำให้หนึ่งรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด

         หนึ่งมองหน้าเพื่อนรักด้วยความรู้สึกซาบซึ้งอย่างสุดหัวใจ  หากแต่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ ออกมาเลยสักคำ 

         เขาเหลือบไปเห็นแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ   จากนั้นเขาก็เดินไปที่ก้อนหินใหญ่ก้อนนั้น แล้วหยิบเอาก้อนหินขนาดเล็กๆ ที่มีความคม และลงมือจารึกข้อความไว้บนหินก้อนนั้นว่า

 

"วันนี้...สองช่วยชีวิตฉันไว้

ฉันรอดตายมาได้ก็เพราะเขา....ขอบคุณมากจริงๆ "

        

         ฝ่ายสองไม่เข้าใจสิ่งที่หนึ่งทำ  เลยถามด้วยความสงสัยว่า...
         "ตอนที่กูผลักมึงล้มลง ทำไมมึงถึงเขียนไว้บนผืนทราย แต่พอกูช่วยชีวิตมึงไว้ ทำไมมึงกลับสลักชื่อกูเอาไว้บนก้อนหินว่ะ?"
        

         หนึ่งยิ้มและตอบเพื่อนรักไปว่า.....

 
         "เมื่อเพื่อนรักทำไม่ดีกับเรา  เราควรเขียนมันไว้บนผืนทราย  ซึ่งคลื่นแห่งการให้อภัย จะทำหน้าที่พัดผ่าน และลบล้างสิ่งเหล่านั้นไปจนหมด....... ตรงกันข้ามเมื่อเพื่อนได้ทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับเรา  เราควรจารึกความดีงามของเขาเอาไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำ  ซึ่งต่อให้คลื่นทะเลรุนแรงเพียงใด ก็ไม่สามารถจะลบล้างออกไปได้ และจะดำรงอยู่อย่างนั้นไปตราบนิรันดร์”

 

 

--------------------------------------------------

 

 

          แล้วเพื่อนๆ ละครับ!  เคยเขียนอะไรลงบนผืนทรายและเคยจารึกอะไรไว้บนก้อนหินบ้างไหมเอ่ย?

 

 

 

 

รูปภาพนำมาจากอินเทอร์เนตครับ

 

 

 

เพลง   "รักไม่ต้องการเวลา"

ร้องโดย   "หนูนา -  หนึ่งธิดา   โสภณ"

 

 

(หาเพลงประกอบไม่ได้  ก็เลยเอาเพลงนี้มาให้ฟังแทนนะครับ  คิคิคิ)

 

 

 


หมายเลขบันทึก: 456209เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2011 23:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 13:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

ความรู้สึกไม่ดี ให้เขียนบนผืนทราย

ความรู้สึกอิ่มเอม ให้บรรจงเขียนไว้บนพื้นหิน

ข้อคิดดีๆ จากคุณอักขณิช :-)

  • ให้แง่คิดดีจังเลยครับ
  • ยิ่งให้ความอดทนหนักแน่นเป็นหินต่อการถูกกระทำจากผู้อื่นด้วยนั้น ก็ยิ่งเหลือแต่ด้านที่รอบันทึกความดีต่อกันสถานเดียวเลยนะครับนี่

สวัสดีค่ะคุณอักขณิช

ก้อนหินสวย ฟ้างาม เพลงเพราะค่ะ

อภัย คำเดียวสั้นๆแต่ก็มีความหมาย ทำได้ก็จะโล่ง สบายใจค่ะ จดจำสิ่งดีๆกันไว้ อภัยในสิ่งที่พลาดไปแล้ว

ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆนี้ค่ะ

การให้อภัย จะว่าเป็นไปแล้ว มันคือการปลดปล่อยใจเราให้เป็น อิสระ

มันทำให้เรา ไม่ถือสา หรือเก็บเอามาคิด ให้ปวดจิต เนอะ

เคยเขียนชื่อคน....ไว้บนผืนทราย...

กลัวน้ำทะเล ลบไปเลยบันทึกภาพเก็บไว้ แบบนี้ค่ะ....*^_^*

สวัสดีครับ คุณหมอแต้ CMUpal

ความหมายที่แท้จริง ก็คือ.....

"ความรู้สึกหรือสิ่งที่ไม่ดี.....ให้เราลืมหรือลบออกไปจากใจเสียให้หมด

ส่วนสิ่งที่ดีงามหรือความรู้สึกที่ดีๆ ที่ทำให้เรามีความสุข....ให้เราทรงจำและเก็บเอาไว้ในจิตใจให้ลึกที่สุด"

เราเลือกที่จะลืมสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายได้

และตรงกันข้าม....เราสามารถที่จะเลือกทรงจำสิ่งที่ดีงามต่างๆ เอาไว้ได้เช่นกัน

ถ้าเพียงแต่เราจะพยายามและลงมือทำจริงๆ

สวัสดีครับ อาจารย์ ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์

ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาแวะมาเยี่ยมและให้กำลังใจ

การให้อภัย(อภัยทาน)....คือ การให้ที่ยิ่งใหญ่และประเสริฐที่สุดนะครับ

หากคนเรารู้จักให้อภัยกัน ไม่ถือโทษหรือโกรธกันจนเกินเหตุ

รู้จักมองกันในแง่ดี และจดจำแต่ด้านดีของกันและกันไว้

โลกนี้ก็จะเป็นโลกแห่งความสวยงาม เต็มไปด้วยความสุขและอบอุ่นนะครับ

สวัสดีครับ คุณถาวร

ขอบคุณมากๆ นะครับ ที่กรุณาแวะมาเยี่ยมและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ

ความเห็นของคุณถาวร ช่วยเพิ่มเติมทำให้บันทึกนี้มีความงดงามมากยิ่งขึ้นนะครับ

ขอบคุณมากๆ เลยครับ

สวัสดีครับ คุณ Nopparat Pongsuk

เห็นด้วยกับความเห็นของคุณนพรัตน์นะครับ

หากเรารู้จักให้อภัยกันเสียบ้าง

ก็คงจะทำให้ชีวิตของเราโปร่งเบาและมีความสุขอย่างมากๆ เลยทีเดียวนะครับ

สวัสดีครับ คุณชาดา ~natadee

ผมเดาเอาไว้ว่า....ชื่อที่คุณชาดาเขียนไว้บนผืนทรายนั้น น่าจะสื่อถึงสิ่งที่ดีๆ ที่ทำให้คุณชาดารู้สึกประทับใจนะครับ

มิเช่นนั้นแล้ว คุณชาดาคงจะไม่ปกป้องมากมายถึงขนาดนั้นเป็นแน่แท้(รวมทั้งถ่ายรูปเก็บเอาไว้อีกต่างหาก)

ขอให้มีความสุขกับทุกๆ ช่วงเวลาของชีวิตนะครับ

สวดยอดครับอาจารย์

พลังแห่งความเมตตา มุทิตาจิต ยิ่งใหญ่ ทั้งต่อผู้อื่นและตนเองค่ะ

เมตตาผู้อื่น อย่าลืมเมตตาตัวเราเองด้วย นะคะ

  • สวัสดีค่ะ
  • เลือกจารึกทั้งสองแบบ..สำหรับเรื่องไม่ดี ไว้เพื่อเตือนตน..
  • ขอบคุณบันทึกที่มีข้อคิดดีๆนะคะ

สวัสดีครับ นายตะวัน

ยินดีที่ได้รู้จักครับ

ขอบคุณมากๆ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจ

ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตตลอดเวลานะครับ

สวัสดีครับ อาจารย์ภูสุภา

ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะมาเยี่ยมเป็นประจำ

 

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก....นะครับ

หากเราเมตตาหรือปรารถนาดีต่อผู้อื่น

ผู้อื่นก็จะเมตตาและปรารถนาดีต่อเราเช่นกัน

ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขและพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ตลอดเวลาเช่นกันนะครับ

เห็นหินก้อนข้างบน เตือนความทรงจำย้อนหลังกลับไปยาวนาน

ครั้งสมัยหนุ่ม (ฮะแอ่ม) ไปเยือน ม.อัสสัมชัญ ภรดาประทีป

มาต้อนรับอย่างดี มีก้อนหินอยู่หน้ามหาวิทยาลัย

มีผู้อธิบายว่า "ชีวิตเหมือนก้อนหิน การศึกษาเหมือนทอง ปิดแล้วทำให้ก้อนหินมีค่ามากขึ้น"

ครม เอ้ย คมไหมครับ

สวัสดีครับ คุณ Kanchana

ความทรงจำของเรา.....เป็นได้ทั้งผืนทรายและก้อนหิน

เราเลือกที่จะเขียนหรือจารึกสิ่งใดลงไปก็ได้นะครับ

ถ้าหากสิ่งนั้นจะสามารถเป็นข้อคิดหรือเป็นบทเรียนที่ดีต่อชีวิตของเราได้

ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมเยือน

สวัสดีครับ ท่านอาจารย์โสภณ เปียสนิท

คำนี้คมมากๆ เลยครับ "ชีวิตเหมือนก้อนหิน การศึกษาเหมือนทอง ปิดแล้วทำให้ก้อนหินมีค่ามากขึ้น"

แต่เอ!.....ทำให้ผมคิดถึง "ลูกนิมิตร" ที่วัดจังเลยนะครับ

ว่างๆ คงจะต้องหาโอกาสไปปิดทองซะหน่อยแล้ว คิคิคิ

การให้อภัยใครซักคนเป็นสิ่งที่ดัจิงๆๆคร่ะ

สวัสดีครับ

 

Ico48 chamaipron junta

-ยินดีที่ได้รู้จัก และขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ

-สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ การให้อภัย

หากทำไม่ได้....การลืม ก็คงจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท