ชื่อปราสาทในนครวัดเป็นภาษาสยาม (ขอม สยาม เขมร ทฤษฎีใหม่ ตอน ๖)


คำว่า ธม นั้นฝรั่งว่าเป็นภาษาเขมร แปลว่า “ใหญ่” นักวิชาการไทยก็เชื่อกันตุตะ แต่ผมว่าเป็นคำบาลี มาจาก ธมฺ คือ ธัม หรือ ธรรม นั่นเอง

หลักฐานด้านภาษา

 

หลักฐานอีกชิ้นที่บ่งบอกโดยอ้อมว่าคนสยามสร้างปราสาทนครวัด นครธม คือ  ชื่อของปราสาททั้งหลาย ส่วนใหญ่ (๘๐%) เป็นชื่อที่มีสำเนียงสยาม  ซึ่งส่อให้เห็นว่ากษัตริย์ผู้สร้างปราสาทเหล่านี้เป็นคนเชื้อสายสยาม ขอยกตัวอย่างเป็นข้อๆ ดังนี้ :-

๑)      นครวัด:   วัด เป็นคำสยามโบราณ ไม่ใช่คำเขมรแน่ๆ

๒)    นครธม:  คำว่า ธม นั้นฝรั่งว่าเป็นภาษาเขมร แปลว่า “ใหญ่” นักวิชาการไทยก็เชื่อกันตุตะ แต่ผมว่าเป็นคำบาลี มาจาก ธมฺ  คือ  ธัม หรือ ธรรม นั่นเอง นี่แสดงว่าได้รับอิทธิพลจากสยามซึ่งนิยมบาลีมากกว่าสันสกฤตนั่นอง ผมว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จะสร้างทรงเมืองอันยิ่งใหญ่ด้วยศรัทธาอันแรงกล้าในพุทธศาสนา เสร็จแล้วตั้งชื่อ “ลวกๆ” ตามภาษา “เขมร” ว่า “เมืองใหญ่” มันต้อง “เมืองธัม” แน่นอน

๓)     ปราสาทนาคพัน:  นาค หดมาจาก นาคา (สันสกฤต) ซึ่งหลักการหดพยางค์แบบนี้มันหลักสยามแท้ๆ ส่วน พัน ส่อกิริยาการพันขดของนาค   ก็ภาษาสยามทั้งสองพยางค์

๔)     ปราสาทปักษีจำกรง:  ปักษี (นก) (ถูกจอง) จำ (อยู่ใน) กรง ..สำเนียงสยามแท้ๆเลย

๕)     ปราสาทพระขรรค์ ..พระวิหาร.. พระรูป: “พระ”  เป็นคำสำคัญที่สุดในภาษาสยาม ผันมาจาก “วร” (วะระ) ในสันสกฤต การผัน ว ให้เป็น พ พร้อมหดสั้น นี้ คือนิสัยแท้ๆของสยาม เช่น วิมาน=พิมาน วิษณุ=พิษณุ วิจิตรา=พิจิตร วิไชยา=พิชัย ภาษาเขมรไม่น่ามีพฤติกรรมนี้

๖)      ปราสาทพิมานอากาศ: พิมาน ก็บาลี (สันกฤต = วิมาน) อากาศ ก็หดมาจากสันสกฤต ทั้งสองคำเป็นสำเนียงสยามชัดๆ

๗)     ปราสาทตาพรหม ตาแก้ว:  ฝรั่งส่วนใหญ่แปล ตา ตามภาษาสยามว่า “พ่อของแม่”  แต่ผมเถียงว่าคือ “อวัยวะใต้คิ้ว”  (แต่ทั้งสองคำก็สยามทั้งคู่)  ตาพรหม น่าหมายถึง ดวงตาแห่งพระพรหม ส่วนตาแก้วนั้นมีตำนานหนึ่งว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ถ้าจริง คำว่าตาแก้วก็คือ ดวงตาแห่งพระแก้ว (มรกต) นั่นแล

๘)     ปราสาทเชื้อสายเทวดา: (ไม่ต้องอธิบาย ภาษาสยามแท้ๆ )

๙)      เสาเปรต (ไม่ต้องอธิบาย)

๑๐)  ปราสาทบายน: อาจเป็นคำสยาม  บา คือครู(บา)   ยน (ยล) คือมอง  รวมกันคือ ปราสาทครูมอง ครูหมายถึงครูใหญ่ คือพระพุทธเจ้านั่นเอง ทรงมองด้วยพระพักตร์หินมหึมาถึง 216 พักตร์  ...ทรงเป็นพระขอมที่ไม่เคยแปรพักตร์มานาน 800 ปีแล้ว

 

 

หมายเลขบันทึก: 456167เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2011 21:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 11:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ + บาแล้ว บาปกรรมจริง ๆ แล้วประเทศใทยเกดเมื่อใรหนอ

คนที่คิดค้นคำเปรียบ หรือคำเหมือนเหล่านี้ขึ้นมาได้คงจะเป็น นักปราชย์แห่งยุค ปราชย์ยุคแห่งความโลภ ไม่มีความละอายเลย พูดไปได้ไง อยากได้ของเค้าซะขนาดนั้นเลยเหรอ ขอถามน้อยนะ คุณเคยเรียนประหวัดศาสรต์มาหรือป่าว เท่าที่รู้มานะ นครวัด นครธม ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่ก่อเกิดไม่ใช่เหรอ พูดไปได้ไง ไปหาหมอเถอะนะ ไปหาหมอประสาท ให้หมอดูให้นะว่า ประสาทของคุณยังทำงานได้เมือนเดิมป่าว

ผมบอกแต่แรกแล้วว่า อ่านให้จบก่อนในหลายๆตอน แล้วคิดให้รอบคอบก่อนวิจารณ์อะไรออกมาแบบ โง่ๆ

ผมให้อภัยคนโง่เสมอครับ ไมถือโกรธหรอก

11 มีนาคม 2555

น่าศีกษามากครับ

อาจารย์ทวิช มีมุมมองด้านประวัติศาสตร์ ที่คมแหลมมาก ผมเคยเรียนมาทางด้านไทยคดีศึกษา บวกด้วยใจรักชอบศึกษาประวัติศาสตร์ และชาติพันธุ์ (Ethnics) ก็พอมีพื้นความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ แม้ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ แต่ผมก็เป็นคนช่างสังเกตเช่นเดียวกับอ.ทวิช

เหตุการณ์หลายๆอย่างในประวัติศาสตร์ชวนให้คิด และหาทฤษฎีมารองรับที่เหมาะสม เช่น คนไทยมาจากไหน? ซึ่งทฤษฎีใหม่เชื่อว่า คนไทยไม่ได้มาจากไหน ก็อยู่แถว ๆ นี้แหละ เป็นการผสมกลมกลืนกัน (Assimmilation) กับคนพื้นเมือง ไม่ว่า คนกลุ่มไท-ไต-ลาว รวมถึงกลุ่ม มอญ เขมร ขอม ...

ทฤษฎีใหม่เชื่อว่า "คนไทย(หมายถึงคนไทยสยาม)อยู่แถวนี้แหละ" ไม่ได้อพยพมาจากภูเขาอัลไต ตามทฤษฎีชาตินิยมของหลวงวิจิตรวาทการ แต่คนกลุ่ม Taikadai ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูล ไท-ไต-ลาว ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่(มาก)ในเอเซียอาคเนย์ต่างหากที่อพยพมาสมทบคนไทยกลุ่มสยาม จนเกิดการผสมผสานกลมกลืน ด้วยภาษาเชื้อชาติที่ลงตัวยิ่ง

คงต้องใช้วิธีตรวจ DNA เหมือนที่ทีมนักวิจัยยุโรปเขาทำกัน ทำให้ทราบความเป็นมาของเชื้อชาติที่ถูกต้อง เช่น ทราบว่า คนเผ่าฮิตไตท์ (Hittite) มาจากยุโรป เผ่าฮิตไตท์มาอยู่ตอนกลางของตุรกี (ที่ราบสูง Anatolia) เป็นชนเผ่ายุโรป มิใช่ชาวเอเชี่ยน

ให้กำลังใจอ.ทวิช ได้ศึกษาค้นกว้า โดยเฉพาะจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส

เรื่องภาษาและชาติพันธุ์ เป็นเรื่องที่น่าศึกษามาก ต้องพยายามเทียบเคียงกับสิ่งที่รู้ คนไทยทุกวันนี้จะห่างไกลกับสิ่งนี้มาก เด็กรุ่นใหม่ ไม่รู้ที่มาที่ไปของชาติพันธุ์ตนเอง เช่น เด็กพื้นเมืองเชียงใหม่ ไม่รู้จักภาษาคำเมือง เพราะเกิดมาในเมืองใหญ่ก็เจอแต่ภาษาไทยกลาง ทำให้ไม่มีต้นทุนในการศึกษาหาต้นตอ หรือศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นได้ ... เป็นต้น

มีแง่มุมเยอะครับ ถ้าจะหยิบมาวิพากษ์...... ให้กำลังใจครับ

คือแบบว่าเอ่อคือ.................... ชื่อที่ยกมาหนะมันเป็นชื่อที่คนไทยเรียกให้คุ้นปาก ซึ่งก็เพี้ยนมาจากชื่อจริงๆของปราสาทนั้นๆ นครวัดหนะ ชื่อจริงเขาคือ อังกอร์วัด แล้วที่ว่าชื่อนั้นชื่อนี้มาจากคำบาลี สันสกฤษหนะ ก็เพราะเขมรรับอิทธิอินเดียมาโดยตรงไม่ได่รับผ่านไทย ไทยซะอีกที่รับอิทธิพลอินเดียผ่านเขมร แล้วถ้าภาษาเขมรกับไทยจะคล้ายกันเพราะมาจากบาลี สันสกฤษ ก็เป็นเขมรที่ใช้ก่อนไม่ได้รับจากไทย เฮ้อ ไม่อยากจะพูด แต่ก็ต้องบอกเหมือน คห.บนคือ "อยากได้ของเขาขนาดนั้นเลยหรือ"

มันไม่ใช่ของเขา แต่เป็น ของเรา หลักฐานผมแจงไว้หมดแล้ว ส่วนที่ท่านว่ามานั้น 1) ว่าตามกระแส 2) กระแสมาจากฝรั่ง โดยมีจอร์จเซเดย์ เป็นต้นกำเนิด โดยมีอคติมาจากการล่าอาณาินิคม

ก่อนวิจารณ์อะไร เราต้องมีใจเป็นกลาง ...ผมเเป็นคนเกลียดการคลั่งชาติมากที่สุด ลองศึุกษาผมให้ดีแล้วจะรู้จัุกผม ...แนวทางประจำตัวผมคือ ไม่ซ้าย ไม่ขวา และไม่กลางด้วย ....สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดคือการ "เข้าข้างตัวเอง"

ขอบคุณครับ ผมมาอ่านบล็อกเดือนตุลาปี2557 ผมเห็นด้วยกับคุณprachernว่าคนไทยไม่ได้มาจากไหนคนไทยคือลูกผสมครับ หลักฐานทางy-dna ปรากฏชัดเจน คนไทยในภาคกลางคือชาวสยามโบราณหรือจีนเรียกเราว่าเซี่ยม คำว่าเซี่ยมกุกอาจมาจากก๊กคือกลุ่มคนชาวสยาม หลักฐานทางdna ยังระบุออกไปอีกว่าชาวสยามคือชาวมองโกลอย์ดทีผสมกับชาวออสโตรนิเซีย สังเกตุดูที่สีผิวใครคล้ำจะมีเชื้อออสโตรนิเซียนมากกว่า  ส่วนชาวไตโบราณคือบรรพบุรุษของอาณาจักรสุโขทัย ชาวเหนือจะมี Dna ไกล้เคียงกับชาวจีนตอนใต้มากและชาวไตจะมีเชื้อออสโตรนิเซียน้อยกว่าประชากรแถบสุ่มเจ้าพระยา ส่วนคนใต้จะมีเชื้อมาเลย์ซึ่งแน่นอนเปอร์เซนต์ของออสโตรนิเซียจะมีมากกว่าภาคอื่น ผมยืนยันคนไทยรักแผ่นดินบ้านเกิดทุกคนดังนั้นการอพยพจึงเป็นเรื่องที่ผิดวิถีตามลักษณะธรรมชาติครับ  เอาเป็นว่าคนที่เขียนประวัติศาสตร์คือเจ้าเมืองครับ ไม่มีใครอยากอยู่เป็นผู้แพ้หรอก สิ่งที่เราเถียงกันคือชนชั้นปกครองว่าเป็นคนที่ไหนใช้ภาษาไหนมากกว่า ส่วนประชากรแน่นนอนเออออตามนั้นเพราะไม่ได้ขยับอพยพอะไรไปที่ไหนหรอกใครปกครองก็ว่าตามนั้น. 

ส่วนเรื่องภาษาในการตั้งชื่อปราสาทผมเห็นด้วยว่าเป็นภาษาสยามหรือภาษาไทยปัจจุบัน เป็นไปได้ว่าผู้สร้างปราสาทชนชั้นปกครองในสมัยนั้นอาจเป็นชาวสยามโบราณกลุ่มดาราวาติหรือชาวทาราวดีซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียตะวันออก(คอร์เคเชี่ยนลูกผสม)ก็เป็นได้ ที่เราเรียนประวัติศาสตร์ทุกวันนี้เราก๊อปมาจากชาวฝรั่งเศสเจ้าของอาณานิคมชาวกัมพูชา อย่าลืมอาณาจักรขะแมร์เดินตามหลังศรีวิชัยและทราวาดีซึ่งชาติพันธ์ชาวกัมโปเชียในปัจจุบันอาจมาจากชาวออสโตรนิเซียนลูกผสมโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เป็นได้ 

ผมเป็นลูกชาวจีนแต้จิ๋วบรรพบุรุษมาจากมณฑลกวางตุ้งพอผมมาเห็นDNA map แล้วผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมตัวผมมีตาสองชั้นพอโดนแดดมากๆจะมีผิวสีเหมือนชาวไทยสยามที่อยู่ในแผ่นดินไทยปัจจุบัน เปอร์เซนต์ดีเอ็นเอแตกต่างกันนิดเดียวแสดงว่าบรรพบุรุษชาวไตชาวจีนมาจากมองโกลอยด์ลูกผสมออสโตรนิเซียนเหมือนกัน 

ภาษาและวัฒนธรรมทำให้เราแตกต่างกันแต่dnaไม่เคยหลอกใคร ในความคิดผมไม่อยากให้คนไทยเรียกเราว่าคนไทยหรือชาวสยาม ความจริงเราคือชาวสุวรรณภูมิที่มีเครือญาติเป็นชาวทาราวดีชาวศรีวิชัยชาวขอมชาวมอญชาวจามชาวไตที่ผสมปนเปกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท