เลาะเมืองลาว 5 (คงใกล้สละโสด)


แม้อาจจะรู้สึกเรียบเฉยกันการสนทนาเมื่อกี้ แต่ผมกลับรู้สึกว่า "ครอบครัว" มันเริ่มใกล้ผมเข้ามาทุกที

ถ้านับ พ.ศ.นี้ ผมมีอายุครบ 33 ปีแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผมได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ผ่านลีลาชีวิตที่มีทั้งสุขสมและขมขื่นระคนกันไป...แต่ผมก็สามารถยืนหยัดและอยู่รอดได้จนมาถึงทุกวันนี้อย่างไม่น่าเชื่อ

ช่วงวัยเด็ก ผมต้องลุ้นว่าผมจะสามารถเติบใหญ่ในโลกใบนี้ได้ไหม...ผมจะผ่านพ้นความแร้นแค้นและสภาพความไม่สมบูรณ์พร้อมต่าง ๆ ได้ไหม....และผมจะได้เรียนหนังสือเหมือนอย่างที่ใจใฝ่ฝันได้หรือไม่...

 

พอเติบใหญ่วัยรุ่น ผมมีแรงกายและแรงบันดาลใจที่จะยืนหยัดได้ด้วยตนเองระดับหนึ่ง ผมไม่ต้องกังวลในเรื่องต่าง ๆ แบบเด็ก ๆ อีกต่อไป เพราะด้วยหนึ่งสมองและสองมือ เราสามารถออกแบบชีวิตตนเองได้...

ผมเรียนจบปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏบุรีรัมย์ และไม่นานหลังจากนั้นผมก็ได้บรรจุเป็นครูในสังกัดกรมสามัญศึกษาที่  ร.ร.ศึกษาสงเคราะห์สกลนคร ก่อนที่จะได้ย้ายไปที่ ร.ร.กาบเชิงวิทยา และกลับบ้านที่ โรงเรียนละหานทรายรัชดาภิเษกในที่สุด ขณะเดียวกันผมก็เรียนต่อในระดับปริญญาโทของ ม.นเรศวร ไปพร้อมกันด้วย และเมื่อจบปริญญาโทผมก็ตัดสินใจลงใต้มาเป็น อาจารย์อยู่ที่ ม.สงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานีทันที และกระเสือกกระสนเรียนต่อระดับปริญญาเอกในที่สุด (ยังไม่จบ)

 

หลายคนที่เฝ้ามองดูลีลาชีวิตผมตั้งแต่ผมตีนเท้าฝาหอย ต่างก็ยอมรับว่าผมประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะนึกว่าจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาในสมัยนั้น หรือผู้ใหญ่ที่มีปัญหาในสมัยนี้ ... แต่เสียอย่างเดียวที่หลายคนเห็นความไม่สมบูรณ์ในชีวิตผมคือ  "ผมไม่มีเมีย"

 

"การมีภรรยา" คนรุ่นเก่า ๆ คงคิดว่าสำคัญและถือว่าเป็นความสมบูรณ์พร้อมของชีวิต แต่สำหรับผมแล้วผมมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตโสด  ได้กิน ได้เที่ยว ได้โลดแล่นอยู่โลกอันเสรีแห่งนี้อย่างเบิกบานไม่ต้องไปห่วงหน้าพะวงหลัง...แม้จะดูน่าอิจฉาอยู่บ้างที่เห็นเพื่อน ๆ มีครอบครัว มีลูกที่น่ารัก...แต่ผมก็รักชีวิตโสดมากกว่า

 

ผมเริ่มตระหนักถึงความไร้แก่นสารของชีวิตเมื่อผมอายุย่างเข้า ๓๐ ขณะที่เพื่อนรุ่นราวเคราวเดียวกันเริ่มมีความมั่นคงในชีวิต และมีหลักประกันในอนาคตมากบ้างน้อยบ้างตามฐานานุภาพ  ขณะที่ผมยังเป็นสัมภเวสี ลอยไปลอยมาอยู่เลย ซึ่งผมอาจดูเหมือนจะมีหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่มันก็เป็นความมั่นคงภายนอก ไม่ใช่ความมั่นคงภายใน ความสุขที่เหมือนได้รับทุกเมื่อเชื่อวันมันกลายเป็นความสุขที่บางเบา ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หมุนเวียนไปเช่นนี้ โดยที่ผมยังไม่เห็นความสุขใดที่มันประทับอยู่ในใจเลยสักอย่างเดียว

แม่ผมดูจะห่วงใยผมในเรื่องความโสดนี้มาก  อาจจะไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก  ก็เพราะลูกเธอทั้ง ๓ คนนั่นแระที่อายุไล่กันจนเข้าเลข ๓ กันหมดแล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา แม่ผมอาจจะกลัวนอนตายตาไม่หลับจึงมีสารพัดวิธีในการกดดันลูกให้มีครอบครัว...ทั้งพูดอ่อนหวานเชิงเสนอแนะ ...พูดหมดอาลัยตายอยากเชิงประชดประชัน...รักหลานชาวบ้านจนออกนอกหน้า หรือแม้แต่ รักหมา รักแมว เสมือนหลานในไส้...

 "วาเลนไทน์" ๒๕๕๔ ที่ผ่านมาอาจจะเป็นปีปะหลาดของผมก็ได้ เพราะปีนี้ผมไม่มีแฟนให้ส่งดอกกุหลาบตามแฟชั่นเหมือนปีก่อน ๆ ผมจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นผมทำอะไร และอยู่อย่างไร แต่หลังจากนั้นไม่นานผมได้รับโทรศัพท์จากเมืองลาว!!!

อ้ายมล:  โหล โหล  ท่านขุนบ้อ

ผม:  ครับ ๆ ข่อยเอง  ไผ่นี่

อ้ายมล:  มล  อ้ายมล  จำบ่ได้ตี้....ยังอยากได้อยู่บ่  เมียทางลาว...อ้ายติดต่อไว้ให้แล้วเด้อ...บักอย่างงาม...มาเบิงเอาเด้อ

ผม:  จั่งซั่นตี้  เออๆๆ  เดี๋ยวผมสิหาเวลาไปเบิงดอก...

ผมวางโทรศัพท์แบบงง ๆ เหมือนคนไม่ได้ตั้งตัว  แม้อาจจะรู้สึกเรียบเฉยกันการสนทนาเมื่อกี้  แต่ผมกลับรู้สึกว่า "ครอบครัว" มันเริ่มใกล้ผมเข้ามาทุกที

 ติดตามต่อ  เลาะเมืองลาว 6...

เลาะเมืองลาว 1

เลาะเมืองลาว 2

เลาะเมืองลาว 3

เลาะเมืองลาว 4

คำสำคัญ (Tags): #ครอบครัว#ลาว
หมายเลขบันทึก: 455948เขียนเมื่อ 24 สิงหาคม 2011 21:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 00:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ติดตามรออ่าน ตอนที่6 อยู่นะคะ

อยากพ้อหน้าเด้...จั่งได๋ กะขอให้มีพลังหลายๆ เด้อน้องหล่า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท