บันทึกการเยี่ยมบ้าน วันที่ 18 สิงหาคม 2554
A : หญิงไทยคู่ อายุ 67 ปี น้ำหนัก 49 กก. สูง 153 เซนติเมตร BMI 20.93 แปลผล น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเส้นเลือดสูง ตรวจภายในและมะเร็งเต้านมเป็นประจำทุกปี มีก้อนเนื้อขนาดเท่าเมล็ดถั่วที่รักแร้ด้านขวาประมาณ 2 ปี ขนาดเท่าเดิม ไม่มีกดเจ็บ เคยได้รับการผ่าต้อหินและต้อกระจกที่ตาข้างขวาที่โรงพยาบาลค่ายสุรนารี เมื่อปี 2552 แต่ผู้ป่วยปฏิบัติตนหลังผ่าตัดไม่ดี จึงทำให้ปวดตามากจนถึงปัจจุบัน ผู้ป่วยรับยาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาและโรงพยาบาลค่ายสุรนารี มีพฤติกรรมการทานยาไม่ค่อยเหมาะสม คือ ลดยาเองเนื่องจากเห็นผลช้า และหันไปรับประทานยาสมุนไพรที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยทราบเรื่องการรับประทานอาหาร แต่ควบคุมได้บ้าง อาศัยอยู่กับสามี มีลูกชาย 1 คน ไปทำงานต่างจังหวัด ลักษณะบ้านเป็นบ้านปูน 2 ชั้น ผู้ป่วยนอนชั้นล่าง สิ่งแวดล้อมภายในบ้านจัดไม่เป็นระเบียบ แต่บริเวณทางเดินโล่ง ห้องน้ำปูด้วยกระเบื้องหยาบไม่มีน้ำขัง ไม่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ
ผลการประเมินภาวะซึมเศร้า คะแนน 4 คะแนน ไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า
ผลการประเมินการฆ่าตัวตาย คะแนะ 0 คะแนน ไม่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
P : แนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมกับโรค
I :
Medication (M) แนะนำและให้ความรู้ผู้ป่วยในเรื่องยาที่ตนเองได้รับ เกี่ยวกับชื่อยา ฤทธิ์ของยา การทานยาต่อเนื่อง ขนาด และจำนวนครั้งที่ต้องทานในแต่ละวัน ข้อควรระวัง ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ข้อห้ามสำหรับการใช้ยา รวมทั้งการดูวันหมดอายุของยาให้ผู้ป่วยทราบ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และในด้านการรับประทานยาสมุนไพร แนะนำว่าผู้ป่วยสามารถรับประทานได้ แต่ควรทานควบคู่ไปกับยาแผนปัจจุบัน และนำยาไปปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยาให้เข้ากับแผนการรักษา
ยาที่ผู้ป่วยได้รับ
Combizym เอนไซม์ช่วยย่อยและดูดซึมไขมัน
Fenofibrate (Lipantyl) 200 mg. 1×1 p.c. ยาลดไขมันในเลือด
Metformin 500 mg. 1×2 p.c. ยาลดน้ำตาลในเลือด
Januvia (Sitaglaptin 100) 1×1 a.c. ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
Aspent 60 mg. 1×1 p.c. ยาระงับปวด ลดไข้
Diclofenac ยาคลายกล้ามเนื้อ
ยาหยอดตา -Glauco-OPH (Timolol) หยอดตาขวา รักษาต้อหิน
-Quinax หยอดตาขวา รักษาต้อกระจก
-Liposic น้ำตาเทียม
-Optal ยาล้างตา
Environment and Economic (E) แนะนำผู้ป่วยและแม่บ้าน เรื่องการจัดวางสิ่งของภายในบ้านและรอบๆ บ้านให้เป็นระเบียบ จัดเตรียมผ้าถูพื้นไว้บริเวณห้องน้ำเพื่อเช็ดพื้นให้แห้งตลอดเวลา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
Treatment (T) แนะนำเรื่องการรับประทานยาให้ครบ และตรงเวลา การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับโรค การสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นเช่น หน้ามืด ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลมหมดสติ ควรมาพบแพทย์ทันที
Health (H) แนะนำเรื่องการออกกำลังกาย ยืด เหยียดกล้ามเนื้อ การเดินรอบๆ บริเวณบ้าน หรือแกว่งแขนไปมาปฏิบัติเป็นประจำ หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 15 -30 นาที แนะนำเรื่องการดูและเท้า บริหารเท้า และข้อต่างๆ
Outpatient Referral (O) ทบทวนเรื่องวันนัด ผู้ป่วยมีนัดไปโรงพยาบาลค่ายสุรนารีเพื่อตรวจตาวันที่ 26 สิงหาคม ควรถือบัตรประจำตัวและบัตรนัดไปด้วยทุกครั้ง และนำยาที่เหลืออยู่ไปด้วยเพื่อสะดวกในการสั่งยาครั้งต่อไป หากมีอาการผิดปกติ เช่น หน้ามืด ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลมหมดสติ ควรมาพบแพทย์ทันทีไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด และติดต่อเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน 1669
Diet (D) แนะนำเรื่องการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักใบเขียว ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก หรืออาหารที่มีรสจัด ควรทานอาหารที่มีรสจืด หรือรสกลางๆไม่หวาน หรือเค็มมาก
ไม่ควรรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานมาก เช่น ทุเรียน ลำไย มะม่วง ขนุน แตงโม และดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพออย่างน้อย วันละประมาณ 8-10 แก้ว
E : ผู้ป่วยตั้งใจฟัง เข้าใจในเรื่องที่แนะนำ ซักถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยา เนื่องจากกลัวว่าจะมีอาการของโรคมากกว่าปัจจุบัน แต่ยังคงจะรับประทานยาสมุนไพรควบคู่ไปด้วย เรื่องการรับประทานอาหาร มีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำได้พอสมควร
สมุนไพรกับเบาหวาน
เบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อที่ตับอ่อนปล่อยฮอร์โมนที่เรียกว่า “อินซูลิน” ออกมาไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งโรคเบาหวานเป็นโรคที่เรื้อรัง สามารถรักษาได้แต่ไม่หายขาด ทั้งนี้เกิดจากสาเหตุหลายๆ อย่าง ทั้งจากกรรมพันธุ์ และอาหารการกิน โดยสาเหตุของโรคเบาหวาน เกิดจากตับอ่อนเสื่อม จึงสร้างอินซูลินได้น้อยหรือไม่ได้เลย สารอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินในร่างกายไม่พอ น้ำตาลก็ไม่ถูกนำมาใช้ จนทำให้เกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดและอวัยวะต่างๆ และถูกไตขับออกมาทางปัสสาวะ
ในการแพทย์แผนปัจจุบัน ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานต้องใช้ยาควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในภาวะปกติไปตลอดชีวิต ถ้าหยุดใช้ยาควบคุมเมื่อไหร่น้ำตาลก็จะสูงขึ้นและถ้าสูงจนอยู่ในภาวะวิกฤต อาจทำให้ถึงแก่กรรมได้
ปัจจุบันสมุนไพรได้เข้ามามีบทบาทในการรักษาและควบคุมความรุนแรงของโรคที่มีผลต่อสุขภาพชีวิตของคนไทยได้หลายๆโรค เบาหวานก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่สามารถใช้สมุนไพรในการควบคุมความรุนแรงของโรคได้ ดังจะกล่าวต่อไปนี้
เตยหอม
สรรพคุณทางยาของต้นเตยหอมเป็นชาชงช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ใช้แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย ขณะนี้มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับห้องทดลอง พบว่าเตยหอมมีฤทธิ์
ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และขับปัสสาวะ ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็นก็สามารถทำเครื่องดื่มรสอร่อยดื่มกินได้ โดยใช้รากเตยหอม ๑ ขีด สับเป็นท่อนเล็กๆ ใส่น้ำประมาณ ๑ ลิตร ต้มให้เดือดแล้วหรี่ไฟลง เคี่ยวต่อไป ๑๕-๒๐ นาที ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว วันละ ๓ เวลา เวลาต้มจะปรุงแต่งใส่ใบเตยหอมให้มีสีสันและเพิ่มกลิ่นหอมให้ชวนดื่มก็ได้
ว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคกรีก สรรพคุณใช้รักษาบาดแผลสด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก รักษาโรคผิวหนังต่างๆ ผื่นคัน ผิวหนังผุผอง ถูกแดดแผดเผา ใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผม แก้โรคริดสีดวง เป็นต้น ในการศึกษาทางยาพบสิ่งที่น่าสนใจว่า ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลองและในคนด้วย ยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
วิธีการใช้ว่านหางจระเข้อย่างง่ายๆ ให้ตัดกาบใบว่านหางจระเข้ ที่ปลูกมาอย่างน้อย ๑ ปี นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกออก จะได้เนื้อวุ้นใสๆ ให้รับประทานวันละ ๑๕ กรัม ทุกวันติดต่อกันอย่างน้อย ๔ สัปดาห์ ควรกินเนื้อวุ้นสดๆ เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า เนื้อวุ้นที่เก็บไว้จะมีสรรพคุณลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเคล็ดลับในการเตรียมยา คือ ถ้าตัดกาบใบมาทั้งกาบ ให้ตัดเป็นท่อนในขนาดที่จะกินในวันนั้น ที่เหลือไม่ควรปอกเปลือก และให้เก็บไว้ในตู้เย็น ควรกินให้หมดภายใน ๓-๕ วัน ถ้าต้องการกินต่อจึงไปตัดจากต้นสด
อบเชย
ต้นอบเชยมีหลายชนิด แต่ที่คนไทยรู้จักกันดีและนำมาใช้ปรุงยาหรือใช้ปรุงอาหารมักจะเป็น อบเชยจีน เพราะมีกลิ่นหอม เปลือกมีความบาง แต่ถ้าหาอบเชยจีนไม่ได้ จะใช้อบเชยไทย อบเชยญวน และอบเชยอื่นๆ แทนก็ได้ มีสรรพคุณลดน้ำตาลในเลือด จากรายงานการศึกษาต่างๆ พอสรุปได้ว่า ในอบเชยมีสารที่ทำให้เซลล์ไขมันตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และสารในอบเชยยังมีฤทธิ์คล้ายอินซูลิน คือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
วิธีกินอย่างง่ายๆ ให้กินผงอบเชยจีนครั้งละครึ่งช้อนชา วันละ ๒ เวลา เช้าและเย็น โดยอาจผสมผงอบเชยจีนในเครื่องดื่มนม โกโก้ โยเกิร์ต ก็ได้ หรือบรรจุผงอบเชยจีนในแคปซูล ควรรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย ๒๐ วัน จึงจะเห็นผล
ช้าพลู
เป็นผักพื้นบ้านและยังเป็นยาสมุนไพรตำรับยาพื้นบ้านอีกด้วย
วิธีใช้ให้เอาต้นช้าพลูทั้งห้า หมายถึงใช้ทั้งต้นรวมรากด้วย นำมา ๑ กำมือ ให้พับเถาช้าพลู เป็น ๓ ทบ ให้ตอกไม้ไผ่มัดเป็น ๓ เปลาะ นำไปใส่หม้อต้มกับน้ำ ๓ ขัน ต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ขัน ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว ก่อนอาหาร วันละ ๓ เวลา วิธีนี้มีผู้ใช้ช่วยแก้อาการเบาหวานได้ ช้าพลูก็เป็นผักสมุนไพรที่น่าสนใจกินเป็นตัวเสริมในการลดน้ำตาลในเลือด ช้าพลูยังเป็นผักที่มีสารแอนตี้ออกซิเดนท์สูง มีวิตามินเอ และซีสูงด้วย และที่สำคัญช้าพลูไม่มีผลลดน้ำตาลในคนปกติ
มะระขี้นก
มีการศึกษาพบว่าสารในมะระขี้นกออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน และช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินด้วยและยังยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับอ่อน มะระขี้นกจึงมีส่วนช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีการใช้มีหลายวิธี ที่สะดวกและง่ายในเวลานี้ คือรูปแบบแคปซูล สามารถกินมะระขี้นกบดผง ขนาด ๕๐๐ - ๑,๐๐๐ มิลลิกรัม วันละ ๑-๒ ครั้ง หรือทำเป็นชาชง นำผลมะระขี้นกมาหั่น เอาเฉพาะเนื้อ ตากแดดให้แห้ง ใช้เนื้อมะระขี้นกแห้ง ๑-๒ ชิ้น ชงกับน้ำร้อน ๑ ถ้วย ดื่มครั้งละ ๒ ถ้วย วันละ ๓ เวลา หรือจะชงจำนวนมากพอแล้วใส่ในกระติกน้ำร้อน แบ่งกินได้ตลอดวันก็ได้
ตำลึง
นักวิชาการจากหลายประเทศยอมรับว่า ตำลึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ซึ่งส่วนที่ออกฤทธิ์นั้นใช้ได้ทั้ง ใบ ราก ผล วิธีใช้ง่ายๆ ให้สมกับตำลึงขึ้นได้ทั่วไป คือให้กินพร้อมมื้ออาหรให้ได้วันละ ๑ กำมือ หรือจะใช้วิธีตามตำรา นำยอดตำลึง ๑ กำมือ ปรุงรสด้วยการใส่เกลือหรือน้ำปลาเล็กน้อย เพื่อให้กินอร่อยขึ้น แล้วนำไปห่อด้วยใบตอง เอาไปเผาไฟให้สุก กินให้หมด ให้กินก่อนนอนติดต่อกัน ๓ เดือน ผู้ที่ไม่เป็นเบาหวานก็น่าจะหันมากินตำลึงกันเป็นประจำ เป็นการช่วยป้องกันเบาหวานและยังได้รับวิตามินโดยเฉพาะวิตามินเอที่มีอยู่สูงมาก มีวิตามินซีสูงกว่ามะนาว มีวิตามิน บี ๓ ช่วยบำรุงผิวหนัง มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด และที่สำคัญ กินตำลึงเป็นประจำ ไม่ท้องผูก เพราะมีใยอาหารจำนวนมาก
กะเพรา
มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายชนิด ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านความเครียด แก้หืด ต้านอักเสบ แก้ไข้ แก้ปวด และมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดด้วย ในใบกะเพรามีน้ำมันหอมระเหยและพฤกษเคมีหลายชนิด นักวิจัยพบว่าช่วยทำให้ตับอ่อนผลิตและหลั่งอินซูลิน ได้ดีขึ้น การศึกษาวิจัยให้ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน กินใบกะเพราบดผงวันละ ๒.๕ กรัม นาน ๔ สัปดาห์ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ วิธีทำใช้เอง อาจนำใบกะเพราตากแห้ง แล้วบดผง นำมา ๑ ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน ๑ ถ้วย กินวันละ ๓ ครั้ง หรือจะบรรจุแคปซูล กินวันละ ๒.๕ กรัม ก็ได้ นักวิจัยแนะนำว่า กะเพราเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานไม่รุนแรง แบบเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง
เห็ดหลินจือ
เป็นสมุนไพรที่นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีสาระสำคัญทางยาที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ คือสาร ที่อยู่ในกลุ่มของโพลีแซ็กคาไรด์ ได้แก่ กาโนเดอแรน เอ บี และซี (Ganoderans A,B,C) ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือด ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของสารอินซูลิน ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานให้แก่ร่างกาย
ใบอินทนินน้ำ
ใช้ใบ 2-3 กำมือ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อ เติมน้ำ ต้มให้สุก ทิ้งไว้ให้เย็นลง แล้วใช้น้ำยารับประทาน
ต้นไมยราบ กับ ต้นครอบจักรวาลหรือต้นฟันจักรสี
อย่างละเท่ากัน นำมาหั่นตากแดดให้แห้ง คั่วไฟให้เหลือง ชงกับน้ำร้อนเป็นชาดื่ม
บอระเพ็ด
สรรพคุณทางยาของบอระเพ็ด คือ ระงับความร้อนได้ดี สามารถแก้อาการเป็นไข้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค ช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหารและช่วยให้เจริญอาหาร ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวได้ดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ และจากการศึกษาวิจัยยังพบว่า บอระเพ็ดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
-http://www.alternativecomplete.com/alternative1.php
ไม่มีความเห็น