ลูกวัยเตาะแตะควรเรียนอย่างไรดี


เคยคาดหวังว่าลูกควรจะเป็นคนเก่ง และได้เรียนโรงเรียนที่วิชาการดีที่สุด

 

- เมื่อตั้งครรภ์ ก็หวังอยากลูกที่ออกมาครบถ้วน สมบูรณ์ ทุกประการ

- เมื่อคลอดลูก ก็หวังว่าขอให้ลูกปลอดภัย

- เมื่อเริ่มเลี้ยงลูก ก็ตั้งใจให้นมแม่ให้นานที่สุด อยู่กับลูกไม่ไปไหน ไปทำงานก็รีบกลับ ไม่แวะที่ไหน

 

แล้วตอนนั้นก็วาดฝันต่อว่า  อยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนที่ดีที่สุด อยากให้เก่งที่สุด เหมือนกระแสการส่งลูกเข้าเรียนทั่วไป

 

เมื่อเลี้ยงลูกต่อมาเรื่อยๆ พบว่าลูกเป็นคนที่มีพัฒนาการค่อนข้างช้า เช่นพูดช้า สองขวบครึ่งยังไม่ได้เป็นคำที่สื่อความหมายได้ชัด ลูกมีกระดูกหลังหย่อน ลูกมีมือที่ไม่แข็งแรง และลูกเป็นเด็กที่จัดว่าเลี้ยงยาก ทำให้ได้คิดว่าเด็กแต่ละคนมีความไม่เท่ากันมาอยู่แล้ว อย่าไปคิดว่าลูกจะต้องเก่ง ต้องฯลฯ เหมือนคนอื่นๆ ทึ่เราเห็น (แต่ปัจจุบันปัญหาต่างๆก็ดีขึ้นตามอายุลูกแล้ว)   ตอนนั้นจึงเปลี่ยนความคิดของตัวเองจากที่เคยคิดว่าลูกควรจะต้องเป็นคนเก่ง จะต้องได้เข้าเรียนโรงเรียนที่วิชาการดี  ซึ่งที่จริงมันอาจจะไม่เหมาะสมกับลูก เพราะด้วยตัวเขาเองยังตามใครๆไม่ทัน และการที่ต้องเดินทางไกลเพื่อไปเรียนโรงเรียนที่แม่คิดว่าเหมาะสมกับลูกแม่จะต้องเร่งรัดลูกทุกๆเช้าเพราะแม่ก็ต้องทำงานด้วย เมื่อไปถึงร.ร.ก็ต้องเร่งรัดเขาเขียนอีกซึ่งมือเขายังไม่พร้อม เขาก็คงเป็นเด็กมีปัญหา แม่เห็นว่าเหมาะกับลูกแต่ลูกไม่ชอบ แม่ไม่เคยถามลูกตัดสินใจแทน

 

ตอนนี้แม่จึงคิดว่าไม่จำเป็นที่ลูกจะต้องเป็นคนเก่ง ไม่จำเป็นที่ต้องเรียนโรงเรียนวิชาการดีในวันเตาะแตะและอนุบาลนี้ ขอเพียงให้ลูกได้มีพัฒนาการที่สมวัย มีโอกาสซึมซับสิ่งที่ดีๆในวิถีชีวิตของตนเองแต่ละวัน และที่สำคัญแม่อยากให้ลูกมีความสุข   โรงเรียนที่เรียนก็ขอให้ใกล้บ้าน สอนแบบบูรณาการ ไม่เร่งรัดเกินความจำเป็น

 

บทเรียนในการเลี้ยงลูกที่ผ่านมา จึงเป็นการสอนตัวเองในเรื่องของ

 

1. ความคาดหวัง ควรเผื่อใจตนเองไว้บ้าง และหาทางออกที่ดีและเป็นไปได้จริง

2. บางอย่างไม่ต้องตามกระแสสังคมที่เร่งให้เด็กเข้าเรียน เพราะอาจจะไม่ใช้ส่งที่ดีที่สุดของชีวิตเด็กคนหนึ่ง 

3. การปลูกฝังสิ่งต่างๆ ให้ลูกไม่จำเป็นต้องไปหาจากสถานที่หรูหรา เช่นห้างสรรพสินค้าต่างๆ หรือการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์   ลูกเพียงแต่ได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ ดูท้องฟ้า ดูนก เรียนรู้ดูธรรมชาติด้วยกัน ทำกิจกรรมด้วยกันที่บ้านความสุขเหล่านี้ต่างหากที่ขาดไปในสังคม หากเราคอยแต่ป้อนทีวี เกมส์คอมพิวเตอร์  ให้ลูกเสพ เขาจะกลายเป็นคนพันธุ์ใหม่ อย่างน้อยสายตาเขาอาจเสีย ร่างกายไม่แข็งแรง จิตใจไม่อ่อนโยนอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น

 

ปัจจุบันลูกได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่แบบธรรมชาติทั่วๆไป พ่อกับแม่พยายามเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกดู  เน้นให้ลูกมีความสุข เป็นคนดี เท่านั้นพอ

 

 น้องผาแดงกับแม่ งานวันแม่ที่โรงเรียนลูก 11 ส.ค.54

พอเห็นหน้าแม่ก็ร้องเลย

 

 

แม่หว้า

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 453411เขียนเมื่อ 11 สิงหาคม 2011 16:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

รำลึกถึงซึ่งบุญพระคุณแม่
พระทรงแผ่เมตตามหาศาล
เพื่อชาวไทยไร้ทุกข์สุขสำราญ
ยั่งยืนนานกำหนดเกินจดจำ

สวัสดีครับแม่หว้า

ปัจจุบันลูกได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่แบบธรรมชาติทั่วๆไป พ่อกับแม่พยายามเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกดู เน้นให้ลูกมีความสุข เป็นคนดี เท่านั้นพอ)

กับประโยคนี้น้องผาแดงรับรู้ถึงความอบอุ่นและมีความสุข

ขอขอบคุณ อจ.โสภณ เปียสนิท และท่านผู้เฒ่าวอญ่า ค่ะ

พี่ก็เหมือนแม่หว้า คืออยากให้ลูกเรียนเก่ง อยากให้ลูกเป็นแบบนั้น แบบนี้ 

แต่มันก็แค่ความอยาก.......อยู่ในใจ

ในความเป็นจริง ลูกเราไม่เหมือนลูกคนอื่นๆ ที่เรียนเก่ง น่ารัก

ในความเป็นจริง  สำหรับเราแล้วลูกเราเรียนเก่งเสมอ  จะได้ที่เท่าไหร่ ก็เก่งทั้งนั้น.....

ได้ที่สุดท้ายก็เก่ง เพราะอุตส่าห์ได้ตั้งที่สุดท้าย  ^_^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท