กรณีศึกษาท่านนี้ ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หลังจากได้รับการวินิจฉัยทางการแพทย์เป็น Gilles de la Tourette Syndrome (GTS) ซึ่งมีการบันทึกในวารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ปีที่ 46 เล่ม 3 เดือน ก.ค. - ก.ย. 2544
ดร.ป๊อป จึงเริ่มวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล สื่อ และบริบทตามกระบวนการทางกิจกรรมบำบัด ดังนี้
1. กรอบอ้างอิงประสาทพัฒนาการ พบว่า กรณีศึกษาคลอดครบกำหนดแบบผ่าออก น้ำหนัก 3, 100 กรัม แพทย์ตรวจพบปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติปกติ มีพัฒนาการด้านการรับความรู้สึกและการเคลื่อนไหวปกติ เมื่อ ดร.ป๊อป ทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติในการทรงท่าทางการคลานและการทรงตัว ก็พบว่าปกติ
2. กรอบอ้างอิงการดำเนินชีวิตของมนุษย์ พบว่า กรณีศึกษามีทักษะทางสังคมไม่เหมาะสมตั้งแต่เรียนชั้น ม. 1 ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ความสนใจสั้น ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า/เพื่อนที่ไม่สนิท กระตุกมากขึ้นถ้าเครียดถึง 9/10 โมโหร้ายกับครอบครัว ไม่ย้ำคิดย้ำทำกิจกรรมอย่างซ้ำๆ พูดไม่ค่อยชัด ขยันเรียนจนปวดคอแล้วชอบขยับคอแรงๆ ไปด้านที่ปวด (รักษากายภาพบำบัดมามากกว่า 1 ปี) หายใจขัดๆ กลืนสำลักง่าย มีอาการมากขึ้นตอนศึกษาที่ต่างประเทศ และคุณหมอที่นั้นวินิจฉัยว่าเป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีอาการสั่นกระตุก(Tics) ในกล้ามเนื้อหลายๆ ส่วน ซึ่งกรณีศึกษารู้สึกว่า ควบคุมได้บ้าง แต่ถ้าตั้งใจควบคุมมากก็เหนื่อยกับอาการกระตุกแรงๆ ราว 3 รอบต่อสัปดาห์ อาการกระตุกเรื่อยๆ ตลอดวัน ถ้าตื่นพร้อมมีอาการกระตุกกลางดึกก็จะรู้สึกเหนื่อยล้าและกระตุกมากขึ้น
3. กรอบอ้างอิงความสามารถในการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต พบว่า รูปแบบการดำเนินชีวิตมีความจำเจ คือ รีบตื่นนอน ทำกิจวัตรประจำวัน (ดูแลตนเอง) 45 นาที จากนั้นขับรถ (พร้อมทานอาหารง่ายๆ ฟังเพลง มีหงุดหงิดบ้างถ้ามีคนขับรถปาดหน้า) เข้าทำงาน เริ่มจากการอ่านและตอบอีเมล์หลายฉบับ (รู้สึกวุ่นวาย) ไม่ค่อยทานข้าวเที่ยงและกินขนมจุบจิบ ช่วงบ่ายต้องควบคุมตนเองไม่ให้กระตุกขณะทำงานต่อหน้าผู้ใหญ่ โดยประสานมือที่กระตุกเร็วๆ ในท่านั่งสลับยืน พอเย็นก็กลับบ้าน ก็พักผ่อนด้วยการทานอาหารเย็น (ไม่ชอบทานข้าวเพราะสำลักง่าย ชอบทานขนมปังแบบเร็วๆ เมื่อทดสอบให้กินขนมปังนิ่มและดื่มน้ำก็ต้องปรับกระบวนการเคี้ยวใหม่) เล่นมือถือ คุยโทรศัพท์ ดูทีวีจากมุมไกลของห้องแบบไม่สนใจมากนัก สนทนากับครอบครัว รวมแล้ว 4 ชม. (มีทำงานที่บ้านด้วย) สุดท้ายทำกิจวัตรประจำวันและเข้านอนทันที
4. กรอบอ้างอิงการจัดการความคิดของตนเอง ในการเพิ่มทักษะการดูแลตนเอง ทักษะการสงวนพลังงาน ทักษะการสื่อสารกับร่างกาย (เน้นการรับรู้และการรู้คิดจากการได้ยินมากกว่าการมองเห็น - เนื่องจากความไวของการมองเห็นลดลงได้ช้า เนื่องจากมีความล้าในการทำงานระหว่างสมองในระดับอารมณ์-ความรู้สึก-จิตใต้สำนึก และสมองในระดับการวางแผนการเคลื่อนไหวอย่างละเอียด-จิตสำนึก-การรู้คิดที่มีความสุข) และทักษะการทำกิจกรรมที่ท้าทายความสามารถของตนเอง แม้ว่าไม่อาจลดอาการกระตุกทั้งหมด ซึ่งคาดหวังในการควบคุมตนเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ถึง 50-80%
5. กรอบอ้างอิงการฟื้นฟูสมรรถภาพในการรู้คิด ด้วยการใช้เครื่องจับชีพจรและเครื่องวัดความไวของการตอบสนองระหว่างตาและมือสองข้างในการเคาะจังหวะ (ครั้งต่อ 10 วินาที) ดังนี้
ก่อนเล่นดนตรี
ข้างขวา (ถนัด) ได้ 55 ครั้งต่อ 10 วินาที ข้างซ้ายได้ 51 ครั้งต่อ 10 วินาที
หลังเล่นดนตรีนาน 5 นาที (กรณีศึกษาใช้มือขวาเล่นข้างเดียว เคยเรียนมาแต่ไม่ได้เล่นนานแล้ว มีอาการกระตุกเกิดขึ้น 7 ครั้ง โดยฝึกหายใจออกลึกๆ ก่อนเข้าลึกๆ 1-5 ครั้งจนกว่าจะรู้สึกสบายไม่กระตุก
ข้างขวา (ถนัด) ได้ 55 ครั้งต่อ 10 วินาที ข้างซ้ายได้ 50 ครั้งต่อ 10 วินาที
หลังเล่นดนตรีนาน 5 นาที โดยให้ใช้สองมือพร้อมกัน ดูโน้ตด้วยการมองแบบสบายๆ พร้อมการหายใจข้างต้นและหลับตา มีอาการกระตุกเกิดขึ้น 5 ครั้ง ชีพจรเต้น 81 ครั้งต่อนาที
ข้างขวา (ถนัด) ได้ 60 ครั้งต่อ 10 วินาที ข้างซ้ายได้ 53 ครั้งต่อ 10 วินาที ชีพจรเต้น 86 ครั้งต่อนาที
...กรณีศึกษามีการจัดการความล้าด้วยการเคลื่อนไหวทำกิจกรรมได้ดีขึ้น (เคาะจังหวะมากครั้งขึ้นของมือทั้งสองข้าง แต่ชีพจรยังดูเกิน 60 ครั้งต่อนาทีมีแนวโน้มเครียดทั้งจากการทำกิจกรรมและการกระตุกขณะทำกิจกรรม ...
หลังเข้าห้องผ่อนคลายจากสื่อที่หลากหลายความรู้สึก (ห้องมืดมีเครื่องเล่นแสง เสียง สัมผัส การแกว่งเปล เบาะนอนผ่อนคลาย) นาน 10 นาที มีอาการกระตุกจากมากลดลงเรื่อยๆ ตามสื่อที่ลดสิ่งเร้าจากการมองเห็น เช่น นอนในอ่างบอล (ไม่มีอาการกระตุก) เปรียบเทียบกับมองฟองน้ำและแสงหลากสีในกระจก (มีอาการกระตุก 4 ครั้ง) รวมถึงการนอนคอยฟังเสียงระฆัง (กระตุก 10 ครั้ง) พร้อมสื่อสารกับร่างกายให้ผ่อนคลายไม่กระตุก นาน 10 นาที (กระตุก 5 ครั้ง) ชีพจรเต้น 69 ครั้งต่อนาที
ข้างขวา (ถนัด) ได้ 59 ครั้งต่อ 10 วินาที ข้างซ้ายได้ 54 ครั้งต่อ 10 วินาที
...กรณีศึกษามีการจัดการความล้าและความเครียดด้วยการสื่อสารกับร่างกายขณะหลับตาได้ดีขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น...
ดังนั้นจากการใช้กรอบอ้างอิงข้างต้นและประยุกต์สู่การเปรียบเทียบองค์ประกอบของการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตในบริบท (สิ่งแวดล้อม) ที่แตกต่างกัน แม้ว่าอาการกระตุกอาจจะลดลงอีก 30% ด้วยกิจกรรมบำบัด ซึ่งจากเดิมควบคุมได้เองจากกลไกการชดเชยของร่างกายแบบบังคับถึง 50% มานาน 2 ปี แต่ ดร.ป๊อป ในฐานะนักกิจกรรมบำบัดจิตสังคม ได้ออกแบบการบ้านเพื่อการจัดการตนเองและการเพิ่มพลังชีวิตให้มีความสุข ซึ่งขึ้นอยู่กับ "การตระหนักรู้ในทุกวินาทีของการปรับเปลี่ยนความคิดสู่การทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต" และติดตามความก้าวหน้าใน 2 อาทิตย์
ขอบคุณครับ อ.ณัฐพัชร์ พอดีไปอบรมการเขียนตำราฯ เลยวิ่งไปร่วมงานไม่ทัน เคยเดิน-วิ่ง 12 ส.ค. ในใจ 555
ขอบคุณครับ อ.ดร.พี่ขจิต