ชักจูงลูกหลานให้หันหาธรรมชาติ


ศูนย์ทำนาทดลองพัฒนาเด็ก

 เมื่อสมัยแม่ใหญ่ยังเด็ก ที่พอจำความได้แล้ว   แม่เคยพาไปเที่ยวทุ่งนาของยายที่ดงละคร   นครนายก  ได้ไปพักอยู่ในกระต๊อบหลังหนึ่ง   เวลาลมฝนมา  หลังคามุงจากรั่ว และมีบางส่วนปลิวว่อน   เจ้าของบ้านวิ่งหากะละมังมารองน้ำ  แล้วเอาผ้าใบมาคลุมให้เราไปนั่งหลบกันอยู่ที่มุมบ้านซึ่งรั่วน้อยหน่อย    แทนที่จะกลัว   แม่ใหญ่ กลับจำได้ฝังใจว่าสนุกมากๆ  เพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน  อาหารที่เขาทำให้ทานที่จำได้ และชอบมาจนบัดนี้คือ ขนมจีนคลุกน้ำปลา ใส่ผักกะเฉดและโหระพา อร่อยจนต้องขอทานเป็นจานที่สอง   วันไหนแดดดีดีก็ไปลงนากับเขา  คลุกโคลน ขี่ควาย   เป็นภาพที่ฝังจิตฝังใจ  ไมเคยลืม

มาวันนี้  ถึงแม้มาอยู่ต่างจังหวัด   แต่ก็อยู่แต่ในตัวเมือง  ไม่ได้ออกไปสัมผัสไร่นาอีกเลย  เมื่อมีเวลาว่างเพราะเกษียณตัวเองจากงานประจำ   จึงอยากไปคลุกคลีกับบรรยากาศ ทุ่งนาอีกสักครั้ง  และก็อยากชักจูงลูกหลานไปสัมผัสชีวิตชนบทด้วย      เมื่อมีคนบอกขายที่นา ราคาไม่แพงนัก เมื่อสองปีที่แล้ว    จึงไปขอแบ่งซื้อมา สี่ไร่  ยกให้เป็นชื่อลูก ชื่อหลาน ทั้งหมด    แล้วก็ชักชวนให้เขาไปเที่ยวไปเล่นในที่นาของเขาเอง    ที่นาซึ่งปลูกข้าวได้  มีสองไร่เศษๆ   อีกสองไร่เป็นบ่อน้ำใหญ่ซึ่งเจ้าของเก่า เขาขุดไว้

ช่วงสองปีที่แล้วต้องบอกว่าเป็นช่วงบ่มเพาะความรู้ต่างๆว่า จะทำอะไรกับที่นาตรงนี้ดี  ยังปล่อยให้เจ้าของเดิมเขาทำนาไปตามที่เขาเคยทำ   แต่ปีนี้ ได้เริ่มทดลองเอาสิ่งที่ศึกษามาปฏิบัติไปบ้างแล้ว   เป็นการลองผิดลองถูก  ไม่ได้นึกถึงผลผลิตเป็นข้าว  หรือเป็นเงินตอบแทนนัก   แต่อยากให้เป็นที่ซึ่งลูกหลานในเมือง  ได้มีโอกาสไปเรียนรู้และใกล้ชิดกับธรรมชาติ  ทั้งลูกหลานของเราเอง และลูกหลานในโรงเรียน ด้วย  ตอนนี้จึงตั้งเป็น  “ศูนย์ทำนาทดลองพัฒนาเด็ก”  เปิดหน้า เวปเพจใหม่ไว้ใน เฟสบุค  แล้วก็รวบรวมความรู้ต่างๆที่ได้ศึกษาจาก you tube และ gooogle  มาไว้ที่หน้านี้  

 ส่วนทางด้านกายภาพ  ก็เริ่มด้วยการทำทางเข้าที่นา  ปลูกเถียงนา  โรงนา   และได้พาเด็กนักเรียนไปโยนข้าว แล้วเมื่อเดือนที่แล้ว  ขณะนี้  ข้าวเริ่มแตกเป็นกอ และแตกใบเป็นสี่ห้าใบแล้ว   ได้ ปลูกหญ้าแฝกกันดินพัง  ปลูกต้นอาคาเซีย บนคันนา รอบๆที่นา  หาพืชพันธ์ไม้ต่างๆไปปลูกไว้  ทั้ง ต้นไผ่บงหวาน   ต้นสัก  ต้นมะละกอ   มะกรูด  มะนาว  ขนุน  มะรุม ต้นแค  ชะอม   หวังว่าอีกไม่นานจะได้เห็น ต้นไม้ต่างๆเหล่านี้ เติบโต  ตั้งใจจะเลี้ยงเป็ดสักยี่สิบตัว  เอาไว้กินหอยเชอรี่ในนา  และ เลี้ยงวัวสักสองตัวเพื่อเอาปุ๋ยคอกมาบำรุงดิน

 เดี๋ยวนี้   พอวันเสาร์อาทิตย์ ก็ชวนลูกๆหลาน  ไปเที่ยวเล่นที่เถียงนาใหม่  แทนการไปเดินห้าง    เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์   เอาอาหารไปทำทานกันบ้าง  ชวนไปวิ่งเล่นออกกำลังกัน     แม้ยังไม่ได้ลงมือเป็นเกษตรกรเต็มตัว  เพราะล้วนแต่ยังทำอะไรไม่เป็นกันสักคน  แต่อย่างน้อยก็ได้ไปเห็นลูกชาวนาข้างๆที่นาของเรา    อายุไล่เลี่ยกับหลานๆ  สามารถลงแปลงช่วยพ่อแม่ ถอนกล้า   แล้วมัดเป็นฟ่อน   และยังสามารถหาบเอากล้าไปดำนาช่วยพ่อแม่  ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว 

 ถือว่า   นี่เป็นพียงการเริ่มต้น  ที่จะให้เด็กๆได้เรียนรู้    ให้เขาได้ใกล้ชิดธรรมชาติ   ได้เห็นชีวิตจริงของชาวนาไทย      แม่ใหญ่ถือว่า การได้จัดประสบการณ์ชีวิตให้เขา   ได้พบ  ได้เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันของเขา  ดีกว่าที่จะให้เขาเติบโตและใช้ชีวิตเป็นเด็กเมือง เพียงอย่างเดียว 

      วันศุกรที่ 12 สิงหาคมนี้  เป็นวันหยุด    ต้นกล้าที่หว่านไว้   โตได้ที่พอดี   ก็จะนัดครู  พนักงาน   เด็กนักเรียน  และลูกหลาน  ไปลงแขกดำนา ในส่วนที่เหลืออีกหนึ่งไร่  กันอีกครั้ง   เอาให้ตรงกับที่ป้าจุ๋มเคยบอกไว้ว่า  “ปลูกวันแม่  แล้วเกี่ยววันพ่อ”  นั่นทีเดียว   ขออย่าให้มีพายุเข้าหรืออุปสรรคอื่นใดอีกก็แล้วกัน

หมายเลขบันทึก: 452863เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2011 18:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มีนาคม 2012 09:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีค่ะ

เป็นกิจกรรมที่ดีมากๆ เลยค่ะ เพราะสมัยนี้มีเรื่องเทคโนโลยีและความทันสมัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมากขึ้น จึงทำให้เด็กๆ ห่างเหินจากธรรมชาติ ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้เด็กมีจิตใจดีและได้เรียนรู้อะไรจากธรรมาชาติมากมายเลยทีเดียว

จำได้ว่าสมัยเด็กๆ ปรางก็ได้ไปวิ่งเล่นตามทุ่งนา ป้าพาไปเกี่ยวข้าวด้วย ยังจำความรู้สึกนั้นได้ว่ารู้สึกสบายและสนุกกับการได้จับต้องต้นไม้เป็นอย่างมาก นอกเหนือจากนั้น ยังเห็นน้ำใจของเพื่อนบ้าน เป็นป้าที่มีนาใกล้ๆ กัน มาช่วยป้าดูแลด้วย รู้สึกอบอุ่นจังค่ะ

ขอบคุณมากๆ นะค่ะ ที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆ การสร้างพื้นที่เรียนรู้แบบธรรมชาติดีๆแบบนี้ค่ะ ^_^

สวัสดีครับอาจารย์ เป็นการกลับคืนสู่รากเหง้า

อาจารย์ลองหาต้น"พังเพย"มาปลูกเด็กๆจะได้ศึกษาเรียนรู้ ต้นพังเพย ในกลุ่มต้น ต่อหน้ามะพลับ หลับหลังตะโก ต้นมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก ต้นมะม่วงหาว มะนาวโห่ ฯ ผมว่ต้นพังเพย ยังหาพันธ์มาปลูกได้อยู่น่ะครับตามแผงต้นไม้

จะตามาชมและมาเชียร์อีกครับ

คุณมะปรางเปร้ยวคะ

เด็กๆนักเรียนที่พาไปก็ตื่นตาตื่นใจกันมากค่ะ  ขอไปอีก  เดี๋ยวช่วงเกี่ยวข้างคงให้เขาไปอีก

คุณวอญ่า

ครบเครื่องเรื่องต้นไม้เลย  จะพยายามหามาปลูกเรียงกันตามคำพังเพยเลยค่ะ  ขอบคุณมากค่ะ

หมายเหตุ  ยังตอบแบบมีรูปประกอบไม่เป็นค่ะ  ต้องเรียนรู้การใช้ gotoknow อีกมาก

อาจารย์คะ

อยากให้เขียนเรื่องเล่าการเรียนรู้กับธรรมชาติบ่อยๆ นะค่ะ คือว่า เหมือนเป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจ บางทีพ่อแม่ของเด็กๆ ก็อาจจะนำไปสร้างการเรียนรู้ให้แก่ลูกๆ ได้ เพราะปัจจุบันการเรียนการสอนมักจะอยู่ในห้องเรียน การที่จะได้เรียนรู้และสัมผัสกับธรรมชาตินั้น เป็นไปได้ยากค่ะ โดยเฉพาะสังคมในเมืองนั้น การหาวัตถุดิบธรรมชาติเพื่อนำไปใช้ในการศึกษาในห้องเรียนยังยากเลยค่ะ

หนูคิดว่าเรื่องเล่าของอาจารย์จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คุณพ่อคุณแม่ หรือบุคลากรในโรงเรียนได้เห็นความสำคัญของการได้ให้เด็กๆ เรียนรู้ธรรมชาติได้ค่ะ ซึ่งเรื่องเล่าเล็กๆ อาจจะช่วยเป็นส่วนขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศก็ได้นะค่ะ หากโรงเรียนจัดให้ไม่ได้ พ่อแม่ก็อาจจะจัดให้ได้ก็ได้ค่ะ ^_^

นอกจากนี้ เรื่องการตอบ comment โดยให้มีภาพของผู้ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นแสดงนั้น ต้องกดลิงก์เรียกใช้เครื่องมือจัดการข้อความที่แสดงอยู่ด้านบนกรอบแสดงความคิดเห็นค่ะ จากนั้นระบบจะแสดงแถบเครื่องมือให้เห็นค่ะ และให้ทำการ copy ภาพของผู้ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นมา paste ลงในช่องแสดงความคิดเห็นค่ะ

Ico48 ทดลองทำดู  ได้แล้ว   รับปากจะเขียนมาให้อ่านกันเรื่อยๆค่ะ

อาจารย์ทำรูปประกอบบล็อกได้สวยมากคะ

หนูยังทำไม่เป็นเลย :-)

Ico48ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในโปรแกรม Picasa ค่ะ  เลือกรูปเสร็จไป click ที่ต่อรูปเป็นแบบต่างๆได้เลยค่ะ   แล้วส่งรูปที่ต่อเสร็จแล้วไปลงใน FB พอมาเขียนใน GTK ก็ไป copy จาก FB แล้วก็ paste เท่านั้นเองค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท