จริยธรรมนักการเมืองกับการเมืองเชิงสมานฉันท์ (1)
ความสำคัญ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ปอ.ประยุทธโต) กล่าวไว้ว่า “สมัยก่อน เมื่อปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย พระราชาหรือมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครอง คุณภาพของราชาธิปไตยก็อยู่ที่คุณภาพของพระราชามหากษัตริย์นั้น ถ้าพระราชาดีมีปรีชาสามารถบ้านเมืองก็เจริญมั่นคงร่มเย็นเป็นสุขแต่ถ้าพระราชาร้ายด้อยปัญญาไม่มีความสามารถบ้านเมืองก็เสื่อมโทรมเดือดร้อน” [1] หลักควบคุมความประพฤติ การปฏิบัติตนของพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน คือ ทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นจริยธรรมของผู้ปกครองปัจจุบันบ้านเมืองปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย นักการเมืองเข้ามาทำหน้าที่ใช้อำนาจเป็นผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องมีหลักจริยธรรมควบคุมการปฏิบัติตนเช่นเดียวกัน
จริยธรรมของนักการเมืองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะนักการเมืองเป็นผู้ที่ต้องไปทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์สาธารณะของแผ่นดิน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๙ บัญญัติให้มีการจัดทำประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท รวมทั้งการสร้างกลไกและระบบในการดำเนินงานเพื่อบังคับใช้ และเมื่อจัดทำประมวลจริยธรรมแล้วหากมีการฝ่าฝืนก็จะมีการลงโทษตามความร้ายแรงแห่งการกระทำ หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำการฝ่าฝืนจริยธรรม ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหน้าที่ต้องรายงานต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรีหรือสภาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าเป็นการ ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้ส่งเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)พิจารณา โดยให้ถือว่าเป็นเหตุที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามมาตรา ๒๗๐ จะถูกถอนถอนจากตำแหน่ง หรืออาจมีการไต่สวนและเปิดเผยผลการไต่สวนต่อสาธารณะตามมาตรา ๒๘๐[2]
ประมวลจริยธรรม และกลไกการบังคับใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมไม่ให้นักการเมือง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ใช้อิทธิพลในตำแหน่งหน้าที่เรียกรับสินบน เรียกร้องผลประโยชน์โดยมิชอบให้แก่ตนเองและพวกพ้อง ตลอดจนการทุจริตเชิงนโยบาย การตรากฎหมายที่เอื้อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง การไม่เสนอกฎหมายใด ๆ ที่กระทบกระเทือนผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง การไม่วางตัวเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ การซื้อขายตำแหน่ง ดังนั้นการที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ แต่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติแผ่นดินเป็นที่ตั้งจะทำให้ประชาชนขาดที่พึ่งพิง กระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคม นำพาสังคมและประเทศชาติไปสู่ความหายนะ เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมือง
คริษฐา ดาราศร คณะทำงานศึกษาวิเคราะห์และติดตามการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เห็นว่าปัญหาด้านจริยธรรมของสมาชิกรัฐสภา ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างยิ่ง กล่าวคือ ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และเบื่อหน่ายการเลือกตั้ง เพราะเห็นว่า สมาชิกรัฐสภาไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎร ประชาชนจะหันไปใช้วิธีการรุนแรงหรือรูปแบบอื่น ๆ ในการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของตนเองเพื่อตัดสินปัญหาหรือเรียกร้องความ สนใจจากรัฐบาล เช่น การเดินขบวนประท้วงตามถนน การปิดถนน การยึดสถานที่ราชการ
หากสมาชิกรัฐสภาไม่ได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบและควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร ก็จะทำให้ฝ่ายบริหารขาดความระมัดระวังในการใช้อำนาจหรือใช้อำนาจโดยมิชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งผลท้ายที่สุดคือการก่อให้เกิดภาวะวิกฤตการณ์ของประเทศไทยดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน [3]
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ จำเป็นต้องดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม เนื่องจากเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นผู้ที่ประชาชนคาดหวังและไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญ มีอิสระในการใช้ดุลยพินิจของตนในการพิจารณาหรือตัดสินใจเรื่องราวใด ๆ ด้วยความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสีย ตัดสินใจเพื่อประโยชน์สาธารณะที่สำคัญของแผ่นดินเป็นที่ตั้ง[4] ดังนั้น จึงต้องมีมาตรฐานในการปฏิบัติงานสูงกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ต้องปฏิบัติหน้าที่อันมีเกียรติและศักดิ์ศรีให้เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงมีข้อห้ามการกระทำในลักษณะที่ขัดต่อ ผู้มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตัดสินใจใดๆ ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างบุคคลและส่วนรวม
ผลประโยชน์ทับซ้อน[5]
ผลประโยชน์ทับซ้อนหมายความว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวมขัดกัน ผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้นเมื่อบุคคลปล่อยให้ประโยชน์ส่วนตนมามีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ นำอำนาจหน้าที่ที่ตนมีมาใช้ประโยชน์แก่ตนเองตัวอย่างเช่น การเล่นพรรคเล่นพวก การรับฝากพี่น้องเพื่อนฝูงเข้าทำงาน การเอื้อประโยชน์ต่อผู้รู้จักมักคุ้น เป็นรูปแบบหนึ่งของผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์ทับซ้อนอาจรวมถึง
- การรับของขวัญราคาแพง
- การออกเงินให้ไปดูงานต่างประเทศ
- สิทธิพิเศษ เช่น ตั๋วชมกีฬาฟรี ตั๋วชมภาพยนตร์หรือการแสดงฟรี
- การทำธุรกิจกับตนเอง หรือพรรคพวก
- การทำงานขัดต่อสถานะภาพการดำรงตำแหน่งหลังจากออกจากตำแหน่งหน้าที่สาธารณะ
- การทำงานพิเศษ
- การรู้และใช้ข้อมูลความลับของรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม
- การใช้สมบัติราชการเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือทางการเมืองของตน
- การนำโครงการสาธารณะไปลงในเขตเลือกตั้งของตน
โปรดติดตามตอนต่อไป
เห็นว่าควรลดบทบาทเรื่องงบประมาณลงนะครับ
ไม่ควรให้ยุ่งเกี่ยวมากนัก
และเพิ่มบทลงโทษด้านการโกงยิ่งขึ้น