เมื่อเช้าวันจันทร์มาถึง วันนี้เป็นวันที่ครูแคทเป็นเวรอยู่ใต้ตึกพอดี เด็กๆ ทยอยถือชิ้นงานมาอวดคนแล้วคนเล่า มีเบ็ดตกปลาคันใหญ่ กล้วยปิ้ง น้ำผลไม้ปั่น ฟ้าทะลายโจรแคปซูล หีบสมบัติ ม้าก้านกล้วย พัด โมบาย กรอบรูป ฯลฯ งานของเด็กไม่ซ้ำกันเลย และทุกคนต่างก็เล่าถึงที่มาของงานตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ โดยที่ครูไม่ต้องถามสักคำ
และแล้วก็เป็นไปตามความคาดหมาย ตะวันทำเครื่องประดับมาส่งครู โดยให้คุณแม่ถือมาให้ เพราะกลัวว่างานจะพังก่อนถึงมือครู
เมื่อถึงเวลาที่ต้องเอางานมาส่งและถ่ายรูป ตะวันก็มาหยิบที่คาดผมที่มีเขาคล้ายกวางมาให้ถ่ายรูป ปรากฏว่าสิ่งที่ตะวันประดับไว้บนที่คาดผมหลุดออกมา ตะวันทำหน้าเสียใจ ครูแคทจึงบอกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้ครูจะเอากาวมาติดให้”
ติดตาม
เที่ยงวันอังคาร ตะวันรีบทานอาหารอย่างรวดเร็ว แล้วเดินจากห้อง ๒/๑ มาหาครูแคทที่ห้อง ๒/๒ แล้วบอกว่า “ครูแคทเราไปติดกาวกันค่ะ” เสียงของตะวันทำให้ครูแคทเพิ่งรู้ตัวว่าลืมเอากาวมา จึงได้บอกกับตะวันไปว่า “พรุ่งนี้นะคะ” เมื่อได้ยินดังนั้นตะวันก็เดินกลับไปที่ห้อง แล้วกลับอีกครั้งมาพร้อมกับกระดาษชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ที่มีข้อความเขียนด้วยลายมือที่สวยงามว่า
๑๒ ก.ค ๕๔
กาว
เอากาวมา
๑๓ ก.ค. ๕๔
ตะวันถือมาวางบนโต๊ะ พร้อมบอกครูแคทว่า “ครูแคทอ่านด้วยนะคะ” แล้วก็เดินจากไป
กระดาษชิ้นนี้เป็นคำตอบของคำถามที่เคยสงสัยมาตลอดว่า เด็กเล็กๆ จะเข้าใจความหมายของการจดการบ้านหรือเปล่า เพราะเห็นเด็กๆ บ่นเวลาจะต้องจดการบ้านว่าต้องจดทำไม เขาจำได้แล้ว
แต่จากโน้ตที่ตะวันเขียนส่งให้ เป็นการเขียนเลียนแบบฟอร์มของการจดการบ้าน ที่เริ่มด้วยวันที่ที่สั่งงาน / วิชา / สิ่งที่ต้องทำ / กำหนดส่ง นั่นเอง แสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าแต่ละช่องหมายถึงอะไร และสามารถนำมาใช้ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย
กระดาษชิ้นนี้ยังแสดงให้เห็นอีกว่าตะวันเปลี่ยนไปจากเดิม และกลายเป็นนักบริหารจัดการที่รอบคอบ และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงขั้นคิดวิธีติดตามไม่ให้เกิดความผิดพลาดเรื่องกาวที่เป็นวัสดุอุปกรณ์สำคัญขึ้นมาอีก
แตกต่าง
คุณแม่ของตะวันเล่าให้ฟังว่า “ไม่น่าเชื่อเลยว่าลูกใช้เวลาวันเสาร์ตลอดทั้งวัน และวันอาทิตย์อีกครึ่งวันเพื่อเขียนวิธีทำในแผ่นพับ ๗ หน้า งานชิ้นนี้เป็นการทำงานที่มีสมาธิและต่อเนื่องยาวนานที่สุดที่เคยพบมา ต่างจากเดิมเวลาที่ตะวันทำการงานหรือทำการบ้าน คุณแม่จะต้องผลักดันค่อนข้างมาก แต่ครั้งนี้ตะวันทำงานชิ้นนี้สำเร็จอย่างสวยงามด้วยแรงจากบันดาลใจภายในของตะวันเอง”
ตะวันใช้เวลาในวันเสาร์สำหรับการเก็บใบไม้ รากไม้ ในหมู่บ้านมาเลือกดู ลองแขวนประตูบ้าง แล้วลองคิดดูว่าจะเอาไปทำอะไรได้อีก แล้วตะวันก็คิดถึงช่อดอกหมากที่เคยเอามาเล่นตอนที่ที่บ้านมีการตัดแต่งต้นไม้ แล้วก็บอกกับแม่ว่าจะเอามาทำเป็นที่คาดผมที่เป็นรูปร่างเขากวาง แล้วก็ได้หัวข้องานออกมาว่า “ที่คาดผมกวาง”
ในขั้นของการทำงาน ตะวันอยากจะยึดช่อดอกหมากเอาไว้กับที่คาดผม แม่ก็เสนอให้เอาไหมพรมมาพันไว้จะได้ไม่หลุด จากนั้นจึงนำดอกพุซซี่วิลโลว์ไปย้อมสีติดกับช่อดอกหมากด้วยกาวร้อน ตอนเขียนอุปกรณ์ที่ใช้ แม่ช่วยสะกดคำบางคำให้
แรงบันดาลใจของลูกในการทำงานชิ้นนี้คือ “หนูจะแต่งชุดแฟนซีกวาง แล้วเอาที่คาดผมอันนี้มาทำที่คาดผมของชุดกวาง”
เติบโต
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ครูแคทไม่ต้องเหนื่อยในการตามงานจากเด็กๆ เลย ในทางกลับกัน เด็กๆ กลับมาตามครูแคทไปดูชิ้นงาน ไปชิมอาหาร ไปถ่ายรูปงานของพวกเขา รวมถึงทำโน้ตเตือนเพื่อช่วยให้ครูไม่ลืมเอากาวมา
ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตะวันเพียงคนเดียวเท่านั้น เด็กคนอื่นๆ ในห้องล้วนมีอาการไม่ต่างไปจากตะวัน คุณครูอิ๋ว ครูประจำชั้นห้อง ๒/๒ เล่าให้ฟังว่า คุณแม่น้องบุ๋มเขียนจดหมายสื่อสารกลับมาว่า “น้องบุ๋มกระตือรือร้นในการทำชิ้นงานมาก ทดลองสูตรทำน้ำส้มคั้นอยู่หลายครั้งกว่าจะได้สูตรที่อร่อยที่สุด”
โบกี้ทำไอศกรีมจากน้ำส้ม วันนี้ทำไอศครีมแท่งที่ ๒-๓ มาให้ครูแคทชิมอีก เจียหงทำแพจากไม้ไอศกรีมมาส่งครูเพิ่มอีกเป็นงานชิ้นที่ ๒
ที่มากยิ่งไปกว่านั้น แรงบันดาลใจของงานแต่ละชิ้น ยังชวนให้ครูปิติที่ได้พบกับความงดงามที่อยู่ในใจของพวกเขา
คุณพ่อคุณแม่ของหลิงซิงบอกว่า “น้องทำงานชิ้นนี้ทั้งถึง ๒ วันเต็ม ตั้งใจทำมาก ทำไม่สวยก็รื้อทำใหม่อยู่นาน จนกว่าจะพอใจ” แรงบันดาลใจในการทำพวงปลาตะเพียนสานของหลินซิงก็คือ “หนูจะมีน้องอีกคนแล้วเลยจะทำให้น้องเล่น” ส่วนน้องแพรทำลูกประคบสมุนไพรให้คุณยายก็เพราะ “คุณยายชอบปวดเมื่อยอยู่บ่อยๆ”
เมื่อแรงบันดาลใจซึ่งเป็นแรงขับภายในของผู้เรียน มีความพอเหมาะกับเงื่อนไข กติกา และกระบวนการการทำงานที่ครูสร้างให้ ความคิดและจินตนาการที่เคยเป็นเพียงภาพเลือนลางอยู่ในสมองก็จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นบนกระดาษ จนกระทั่งปรากฏออกมาเป็นชิ้นงานจริงได้ในที่สุด
โจทย์ของการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่การนำพาให้ผู้เรียนได้พบกับความสำเร็จ ได้สัมผัสกับความดี ความงาม และความจริง จึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เติบโต และจะช่วยเปลี่ยนการเรียนรู้ที่เคยอยู่ในมือครู ไปสู่การทำให้การเรียนรู้เป็นของผู้เรียนได้อย่างไม่ยากเย็น
ติดตาม แตกต่าง และเติบโต คือ ๓ อาการเบื้องต้นที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “การเรียนรู้เป็นของผู้เรียน” แล้ว
ไม่มีความเห็น