สรุปภาพรวม 2 ปี โครงการพัฒนาต้นแบบการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพในบริบทพยาบาล
ที่มา/แนวคิด
-พยาบาลเป็นวิชาชีพที่มีจำนวนมากที่สุดในทีมสุขภาพ
-พยาบาลเป็นวิชาชีพที่กระจายอยู่ในสถานบริการสาธารณสุขที่ใกล้ชิดกับครอบครัวและชุมชนมากที่สุด
-พยาบาลเป็นวิชาชีพที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วย ครอบครัวและชุมชนมากที่สุด
-พยาบาลเป็นวิชาชีพที่สามารถใช้องค์ความรู้ทั้ง 4 มิติในการดูแลรักษาพยาบาลเบื้องต้น การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพ รวมทั้งสามารถใช้ความรู้ทางด้านสังคม จิตวิทยาในการทำงานกับผู้ป่วย ครอบครัวและชุมชน
-พยาบาลจึงเป็น Change Agent ที่สำคัญในการสนับสนุนให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน สนับสนุนให้ คนมีสุขภาพดี มีการดูแลตนเอง ลดพฤติกรรมเสี่ยง และเมื่อเจ็บป่วยสามารถดูแลตนเองให้ทุเลาหรือหายจากโรคได้ โดยใช้กิจกรรมหรือกระบวนการ ที่กระทำกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน มีเป้าหมายเพื่อ มุ่งเน้น การสร้างปัจจัยเอื้อ กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการมีส่วนร่วม กระบวนการจัดการด้านสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการมีนโยบายรัฐสนับสนุน โดยเฉพาะบทบาทในการสนับสนุนการสร้างสุขภาพในระดับครอบครัว ชุมชนโดยการพัฒนาทักษะการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำงานสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน ซึ่งทำให้เข้าใจปัญหาได้ลึกซึ้ง สามารถทำงานสร้างสุขภาพในชุมชนอย่างมีส่วนร่วม เป็นองค์รวม ต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้น.....โครงการ จึงได้วิเคราะห์สถานการณ์การดำเนินงานสร้างสุขภาพของพยาบาล นำไปสู่กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนาวิธีคิดและพัฒนาวิธีการทำงานสร้างสุขภาพให้สอดคล้องกับพื้นที่ โดยใช้เครื่องมือของการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อค้นหาปัญหาที่ซับซ้อนที่มีอยู่ในผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชน หรือแม้แต่ในระบบการทำงานสาธารณสุข ในบริบทที่แตกต่างกันไป ปัญหาของระบบสุขภาพในปัจจุบัน ซึ่งการให้บริการต่าง ๆ ยังเป็นบริการแบบตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ เป็นการดูแลรักษาประชานที่มีความเจ็บป่วย แต่การให้บริการเชิงรุกที่สนับสนุนให้ประชาชนมีการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรค มีการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม มีสุขภาพดีทั้งร่างกาย จิตใจ สภาพแวดล้อมที่ดี สังคมดี
กระบวนการเรียนรู้
ในปีที่ 1(สค.46 – พย.47) ปี ชมรมพยาบาลชุมชนแห่งประเทศไทยได้จัดกระบวนการเรียนรู้ใน Core Group รุ่นแรกจำนวน 35 คน(ภายหลังเหลือเพียง 30 คน) ที่สมัครเข้าเรียนรู้โดยผ่านกระบวนการใช้เครื่องมือของการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ มาใช้ทำงานในพื้นที่ของตนเอง เป็นการทำงานวิจัยในงานประจำ ดำเนินการจากปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ โครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีทั้งกิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน กิจกรรม”การสร้างในซ่อม” ซึ่งเป็นกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพในสถานบริการ เช่น กลุ่มผู้ป่วยใน เป็นต้น นอกจากจะเป็นงานวิจัยที่เกิดขึ้นจากงานประจำแล้ว กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกอบรมยังเป็นการเรียนรู้ระหว่างทีมพยาบาล ทีมสหวิชาชีพ ภาคีอื่น ๆ และประชาชน
สำหรับขั้นตอน และกระบวนการเรียนรู้ที่จัดขึ้น ตั้งแต่ ปี 2546 – 2547 นับเป็นปีที่เริ่มเรียนรู้อย่างแท้จริง เพราะตั้งแต่กระบวนการสรรหาผู้เข้าร่วมโครงการก็ยังไม่ชัดเจน เพียงแต่ประชาสัมพันธ์ไปในกลุ่มผู้สนใจ ที่เป็น Core group ซึ่งก็เข้ามาร่วมด้วยความเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ดังนั้น ในระหว่างทางจึงมีหายหกตกหล่นไปบ้าง เก็บตกเพิ่มได้ระหว่างทางบ้าง กิจกรรจึงเริ่มตั้งแต่ มีรายละเอียด ดังนี้
ลำดับ กิจกรรม ระยะเวลาดำเนินการ
1. การประชุมคณะกรรมการชมรม (Core Group )เพื่อพัฒนาโครงการ 3 ครั้ง มิย.-สค. 46
2. ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาโครงการ และคณะกรรมการบริหารโครงการ ณ.ห้องประชุมของ สสส. 14 ตค. 46
3. อบรม เรื่องการวิจัยเชิงคุณภาพ รุ่นที่ 1สำหรับโดยมีแกนนำพยาบาล (Core group ) 35 คน ที่โรงแรม โคราช รีสอร์ท จ.นครราชสีมา 11 - 15 สค. 46
4. อบรม Core group เรื่องการปรับปรุงโครงร่างการวิจัย(Proposal Development) ที่โรงแรมเฟริสท์ กรุงเทพฯ 25 - 29 พย. 46
5. การอบรมเชิงปฏิบัติการภาคสนามในพื้นที่( Field Work) รุ่นที่ 1 ในพื้นที่ อำเภอแก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา 17 - 23 มค. 47
6. การอบรมเชิงปฏิบัติการภาคสนามในพื้นที่( Field Work) รุ่นที่ 2 ในพื้นที่ อำเภอหนองวัวซอ จ.อุดรธานี 21 - 27 กพ. 47
7. การอบรมเชิงปฏิบัติการวิเคราะห์ข้อมูล(Data analysis)จากการฝึกภาคสนาม 2 รุ่น ที่โรงแรมทิพย์ อ.เมือง จ.หนองคาย 29 มีค. – 2 เมย.47
8. การอบรมเชิงปฏิบัติการการนำเสนอข้อมูล (Data Presentation) และการทำ Startegic Plan ของ นักวิจัย และผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ฝึกภาคสนามทั้งสองพื้นที่ 17 - 21 พค.47
9. การพิจารณางบประมาณสนับสนุนโครงการรวิจัยของเครือข่ายที่เสนอของบประมาณสนับสนุน 26 มค.- 30 เมย. 47
10 โครงการของแกนนำที่ได้รับการพิจารณางบประมาณสนับสนุน ดำเนินการในพื้นที่ เมย.-กค.47
11. การประชุมสัมมนานำเสนอผลงานและเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ทรงคุณวุฒิ,สหวิชาชีพ,ภาคประชาชน,ภาคีเครือข่ายพยาบาล 23 - 27 สค. 47
12. จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาคี ตัวแทนจังหวัด 7 – 9 พย.47
ในปีที่ 2 ได้มีการเตรียมการ โดยการประชาสัมพันธ์ไปที่โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งทั่วประเทศ ให้ส่งโครงร่างการวิจัย จากปัญหาในพื้นที่ มีผู้ที่สนใจส่งโครงร่างมาพิจารณา 100 กว่าโครงร่าง ซึ่งทางคณะกรรมการได้พิจารณารับได้เพียง 40 โครงร่าง(และใจอ่อนรับอีก 1 โครงร่างที่จะใช้ทุนของโรงพยาบาล แต่ภายหลังด้วยความมุ่งมั่นของน้องผู้วิจัย จึงมีมติให้รับเข้าสู่โครงการ) กระบวนการในปีที่ 2 จึงเริ่ม ดังนี้
ครั้งที่ 1 อบรมองค์ความรู้ภาคทฤษฏีการวิจัยเชิงคุณภาพและพัฒนาโครงร่างงานวิจัยของตนเองไปด้วย ใช้เวลา 7 วัน(มค.- 5 กพ.-โคราชรีสอร์ท) ที่นักวิจัยจะได้พบกับวิทยากรหลัก พันเอก นายแพทย์ วีศักดิ์ นพเกษร.....“ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้แบบใช้หัวใจและจิตวิญญาน.......ไม่เคยเห็นวิทยากรท่านไหนทุ่มเทกับการสร้างคน ให้รู้จักวิธีคิดอย่างฉลาดรู้ได้อย่างนี้”
ครั้งที่ 2 เป็นการฝึกภาคสนามหลังจากอบรมควมรู้ คราวนี้ จะได้ลองของจริง(ในพื้นที่ของเพื่อน ) ปีนี้แบ่งฝึกออกเป็น 2 พื้นที่ เนื่องจากนักวิจัยเยอะ และมีเรื่องที่น่าสนใจมากหลายเรื่อง แต่เลือกมา 2 เรื่อง
ภาคสนามครั้งที่ 1 เรื่องที่เลือกฝึกภาคสนามครั้งนี้ มาจากประเด็น Hot ที่พวกเราอาจจะเห็นเป็นเรื่องพื้น ๆ เป็นเรื่อง วิถีการดื่มสุรา เป็นเรื่องเชิงสังคม มานุษยวิทยา ที่พยาบาลจะต้องเรียนรู้อีกมาก การเก็บข้อมูลภาคสนามนอกจากทุกคนจะได้ฝึกทักษะ ตั้งแต่การสัมภาษณ์เชิงลึก Focus group discussion การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม การฟัง การบันทึก การพูด ฯลฯ นอกจากเนื้อหาและทักษะที่ได้จากการฝึกแล้ว ประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการลงไปเก็บข้อมูลทำให้หลายคนได้ตระหนักถึงภัยร้ายของสุราที่แทรกซึมเข้าไปทำร้ายทุกคน ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ตั้งแต่สถาบันครอบครัว ไปถึงชุมชน
ภาคสนามครั้งที่ 2 เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องระบบสุขภาพโดยตรง เป็นการพัฒนาระบบงานการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงของเครือข่ายสถานบริการ เป็นงานวิจัยชิ้นเล็ก ๆ ที่สะท้อนระบบสุขภาพจากระบบเล็ก ๆ ไปสู่ระบบใหญ่ที่เริ่มจากตัวผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชน ไปสู่ระบบบริการสาธารณสุข ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การบริหารบุคคล องค์กร ภายในและภายนอก
ครั้งที่ 3 เป็นการนำข้อมูลที่ทุกคนไปช่วยกันเก็บมาเรียนรู้การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยการนำ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ที่ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพง่ายขึ้น สามารถเก็บได้อย่างเป็นระบบ ง่ายต่อการนำมาวิเคราะห์
ครั้งที่ 4 เป็นการคืนข้อมูลต่อชุมชน นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ ที่นักวิจัยจะนำข้อมูลที่ช่วยกันเก็บคืนให้แก่ผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสีย ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับในชุมชน จากการที่ได้วิเคราะห์ข้อมูล เข้ามารับฟังและมีส่วนร่วม วางแผนในการแก้ไขปัญหา ในขั้นตอนนี้นักวิจัยจะได้เรียนรู้การจัดเตรียมข้อมูล การนำเสนอข้อมูล รวมทั้งกระบวนการทำแผนอย่างมีส่วนร่วม ด้วยชั้นเชิงของวิทยากรกระบวนการ ที่ต้องมีการวางแผนการออกแบบกลุ่ม การออกแบบงานให้เหมาะสม ที่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ การที่ไม่ได้ทำให้งานวิจัยไม่ได้อยู่บนหิ้งหรือในตู้ ที่รับรู้แค่นักวิจัยเท่านั้น แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จริง ๆ “พัฒนาระบบสุขภาพโดยใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพในระดับพื้นที่”
เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้ ถึงเวลาลงมือจริงในพื้นที่ตนเอง นักวิจัยทุกคนจะต้องทำสัญญารับทุน(เพียงเล็กน้อย)และกลับไปสร้างทีมของตนเอง ซึ่งมีหลากหลาย หลายคนได้ทีมสหวิชาชีพ มีทั้งแพทย์ พยาบาล หมอฟัน หมอยา น้อง ๆ ในโรงพยาบาล/สถานีอนามัยไปช่วยกันเก็บข้อมูลอย่างสนุกสนาน บางคนได้คนในครอบครัวไปช่วยเก็บ ช่วยบันทึก เป็นCirculate คอยไล่สุนัข เป็น พขร. พนักงานพิมพ์ดีด และบางคนก็มีเพื่อนคู่กายมีเพียงเทปเท่านั้น กลับจากเก็บข้อมูลก็ต้องมาต่อข้อมูล มา Triangulation ข้อมูล ลง Code เตรียมวิเคราะห์ข้อมูล
ครั้งที่ 6 ประชุมเพื่อรายงานความก้าวหน้า และเรียนรู้เรื่องการเขียนรายงานการวิจัย ในครั้งนี้ นอกจากต้องมารายงานความก้าวหน้า และเรียนรู้เรื่องการเขียนรายงานการวิจัยแล้ว สิ่งที่สำคัญ คือการได้มาพบเพื่อน ๆ ร่วมทางได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์(การทำวิจัย.....ชิ้นแรก) หลายคนได้กำลังใจกลับไป บางคนได้ความมุ่งมั่น...อย่างมาก ที่จะต้องกลับไปทำงานของตนเอง......ให้เสร็จ
ครั้งที่ 7 เป็นเวทีวิชาการที่ทุกคนจะต้องมานำเสนอ จะต้องใช้ความรู้ที่เรียนมาทั้งหมด นำเสนอผลงานวิจัย ภายใต้การจัดประชุมวิชาการชมรมพยาบาลชุมชน
ข้อค้นพบที่เกิดขึ้นในการพัฒนาพยาบาล/เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยการนำเครื่องมือการวิจัยเชิงคุณภาพไปใช้ในการปฏิบัติงาน จำแนกเป็นประเด็นต่าง ๆ ได้ดังนี้
ด้านการเรียนรู้
-โครงการสร้างทักษะการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสนับสนุนของ สสส. เป็นกระบวนการเรียนรู้ทุกขั้นตอนซึ่งนำไปสู่การสร้างสุขภาพในบริบทพยาบาลโดยมีผู้ป่วย/ชุมชนเป็นศูนย์กลาง
-ความรู้และทักษะที่ได้รับการฝึกฝนสามารถนำไปขยายผลฝึกอบรมสมาชิกในทีมเพื่อร่วมกันเรียนรู้ทั้งงานวิจัยและกระบวนการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จ
ด้านพฤติกรรมบริการ
-แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบริการ เนื่องจากวิธีการทำงานเอื้อให้มีการสื่อสาร ๒ ทางกับผู้ป่วยมากขึ้น ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วย รวมทั้งการนำทักษะการสัมภาษณ์ การสังเกต ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานชุมชน
“การรับฟังคำพูดของผู้ป่วยมีประโยชน์ในการวางแผนให้การดูแลเขาต่อได้“
"จนท. สามารถทำงานหาปัญหา ได้มากขึ้น นำทักษะการสัมภาษณ์ การสังเกต มาใช้ในการทำงาน ลงพื้นที่หมู่บ้าน"
"แพทย์ซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองเป็นหลักฐานให้มีการดูแลต่อเนื่องซึ่งเมื่อก่อนไม่ค่อยมีการซักประวัติเช่นนี้มาก่อน“
"ได้เรียนรู้ถึงการเข้าตัวคน เข้าถึงชุมชนจริงๆ เป็นการดีที่เราจะนำวิธีการวิจัยนี้ไปใช้ในงานอื่นๆ จากการที่เราไม่เคยฟังผู้มารับบริการเลย มีแต่เราเป็นคนป้อนข้อมูลต่างๆให้เขา เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่า ตอนนี้ผู้มารับบริการคิดอย่างไร ต้องการอะไรจากเรา ได้คิดว่า เราต้องฟังเขามากขึ้น คิดร่วมกันมากขึ้น"
ด้านทัศนคติของ จนท.
เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องในโครงการเกิดทัศนคติในการทำงานในแนวราบมากขึ้นทั้งกับผู้ป่วย และผู้ร่วมงาน/สหวิชาชีพ ตื่นตัวเห็นความสำคัญของกระบวนการทำงานเชิงคุณภาพมาก และมีทัศนคติเชิงบวกกับผู้ป่วยและการทำงานมากขึ้น ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วย/ชุมชนมาใช้ในการทำงานและแก้ไขปัญหามากขึ้น
"จนท.เกิดความตื่นตัวในการทำงาน คิดวิเคราะห์มากขึ้น แต่ก่อนมุ่งทำงานให้เสร็จอย่างเดียว"
"มีการตื่นตัวพร้อมที่จะร่วมมือกัน..ทุกคนเข้าใจและให้ความร่วมมือมากขึ้น”
"กลุ่ม รพ.อื่นในจังหวัดสนใจในการทำวิจัยนี้และถามว่าจะมาเข้าโครงการได้อย่างไร“
"หัวหน้าตึกผู้ป่วยใน บอกว่าน่าจะมีการขยายผลการทำวิจัยเชิงคุณภาพอย่างนี้ให้ครอบคลุมทั้ง รพ. ประธาน HRD มีความสนใจ เข้าใจงานวิจัยเชิงคุณภาพมากขึ้นอยากนำมาใช้พัฒนางาน“
"ทำให้มีความเข้าใจผู้ป่วยและญาติ ดูแลเหมือนเขาเป็นญาติของตน ฟังผู้ป่วยมากขึ้น“
ด้านการทำงานร่วมกับพหุพาคีสุขภาพ
ผลของการทำงานเชิงคุณภาพในพื้นที่ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างบุคลากรทางสาธารณสุขกับพหุพาคีอื่นๆ เช่น องค์ปกครองท้องถิ่น หน่วยงานระดับอำเภอ ชุมชน/ผู้นำ/ผู้รับบริการ/ครอบครัว เกิดความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วยและญาติ
"เกิดความเข้าใจ ซึ่งกันและกันระหว่างบุคลากรด้านสาธารณสุขและบุคลากรขององค์กรปกครองท้องถิ่น...เกิดพลังในชุมชน"
"ขอเบี้ยยังชีพจากเทศบาลตำบลให้ผู้สูงอายุ ผู้พิการได้”
“ยังหางบประมาณจากกองทุนหมู่บ้าน กองทุน ๗,๕๐๐ มาจัดสรรแบ่งเป็นค่าผู้นำออกกำลังกายในหมู่บ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ
“นำหลักการจากโตรงการนี้ ไปพัฒนาโครงการวิจัยร่วมกับ ชมรมอนุกรักษ์กลุ่มน้ำชี มีทีมงานประกอบด้วย NGO/อบต./ตัวแทนชุมชน/บุคลากร สธ. ได้รับการพิจารณาอนุมัติโครงการเป็นวงเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท จาก สกว.แล้ว
ด้านการทำงานร่วมกับสหวิชาชีพ
การทำงานเชิงคุณภาพ ทำให้สัมพันธภาพของทีมพยาบาลกับสหวิชาชีพดีขึ้น เกิดเครือข่ายสหวิชาชีพในการสร้างสุขภาพในชุมชน และการให้บริการผู้ป่วย สหวิชาชีพเริ่มเข้าใจและให้ความสนใจกับการทำงานเชิงเชิงคุณภาพร่วม
"เกิดเครือข่ายสหวิชาชีพ มีทั้งพยาบาลวิชาชีพ นวก.สธ. จนท.บริหาร สธ. จนท.สธ....ได้เครือข่ายการสร้างสุขภาพ"
“เกิดทีมวิจัยเพิ่มขึ้นคือทันตแพทย์ และแพทย์ ในรพ.สนใจอยากมาร่วมทีมอีกและให้ความร่วมมือดีในการทำงานด้านอื่นๆ เช่น ตรวจคนไข้ให้ดีขึ้น ร่วมงานวิชาการดีขึ้น สัมพันธภาพกับเราดีขึ้น"
ผลกระทบของโครงการ
ด้านพฤติกรรมของ จนท.
ผลกระทบของการทำงานเชิงคุณภาพในพื้นที่ครั้งนี้ ทำให้บุคลากรที่เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วม/ให้ความร่วมมือในการทำงานระหว่างกลุ่มงานต่าง ๆ และจนท.บางคนมีการปรับพฤติกรรมบริการในทางที่ดีขึ้น
"เกิดความร่วมมือระหว่างกลุ่มงานใน รพ...จนท.บางคนมีเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรม.”
"เกิดความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมในการทำงาน.”
ด้านการพัฒนาระบบบริการ
ผลกระทบจากการดำเนินงาน ทำให้เกิดการพัฒนาระบบบริการสุขภาพทั้งในสถานบริการ/ชุมชน การดูแลผู้ป่วย/การสร้างเสริมสุขภาพ ระบบข้อมูล การประสานงานในแนวราบกับสหวิชาชีพและพหุพาคีรวมทั้งกระบวนการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล
“มีการจัดระบบการนัดผู้ป่วยให้มาด้วยกันในผู้ป่วยที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพื่อความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย."
”เกิดแนวคิดว่าการให้ความรู้กับผู้ป่วยจะต้องให้ญาติมามีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยจริง (จากเดิมจะให้ความรู้กับผู้ป่วยหรือให้เฉพาะญาติคนใดคนหนึ่งก็พอ”
"การสร้างทีมงานวิจัยการทำงานเชิงคุณภาพใน รพ.เพื่อบูรณาการกับกระบวนการรับรองคุณภาพ รพ.”
"ผู้บริหารเห็นความสำคัญของการจัดระบบบริการให้ความรู้ ในแผนกผู้ป่วยในมากขึ้น สนับสนุนแลให้กำลังใจ มีการพัฒนาระบบจำหน่ายผู้ป่วยให้มีคุณภาพ"
ด้านทัศนคติผู้รับบริการ
ผลกระทบของการทำวิจัยเชิงคุณภาพในพื้นที่ครั้งนี้ ทำให้บุคลากรที่เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วม/ให้ความร่วมมือในการทำงานระหว่างกลุ่มงานต่างๆ และบางรายมีการปรับพฤติกรรมเสียใหม่
"ผู้ป่วยมีส่วนร่วม ให้ความร่วมมือไว้วางใจและกล้าเปิดเผยพฤติกรรมเสี่ยง ที่เกิดขึ้น“
"ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการเข้าไปเก็บข้อมูลมีความกระตือรือร้น ในการที่จะดูแลสุขภาพตนเอง และดูแลช่วยเหลือกันมากยิ่งขึ้น“
"เกิดความเข้าใจกันกับ จนท.กับประชาชน ชาวบ้านในพื้นที่ชมว่ามีหมอมาดูแลเอาใจใส่ดีขึ้นกว่าเดิม มาพูดคุยเป็นกันเองมากขึ้น"
ปัญหาอุปสรรคผู้วิจัย
ผู้บริหาร/เพื่อนร่วมงาน/สหวิชาชีพ บางส่วนยังไม่เข้าใจ/ไม่เห็นความสำคัญ จึงไม่ให้การสนับสนุนการทำโครงการอย่างเต็มที่ บางครั้งกลับมอบหมายภาระงานอื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ถึงกับขัดขวางการทำงาน ผู้วิจัยต้องปรับตัว/เวลา/บริหารตนเอง เพื่อฝ่าฟันบากบั่นทำงานโครงการนี้ให้สำเร็จให้ได้ นอกจากนี้งานประจำบางอย่างในระบบการสั่งการแบบนึกเอาจากบนลงล่าง เป็นสิ่งไม่จำเป็นแต่เป็นภาระในการสร้างภาพ
ความคิดเห็นต่อโครงการฯ ของผู้ทรงคุณวุฒิ / ที่ปรึกษา / สหวิชาชีพ /ทีมประเมินภายนอก /ตัวแทนเครือข่ายชมรมพยาบาลชุมชน
“รู้สึก ทึ่ง ภูมิใจในวิชาชีพมากขึ้น ไม่เคยเห็นพยาบาลเป็นแบบนี้ ควรมีการขยายวงให้กว้างขึ้น”
“เริ่มเปลี่ยนมุมมอง เมื่อได้ทำงานในชุมชน ตำราเล่มไหนก็สู้ไม่ได้ได้เรียนรู้กับชุมชน จะปล่อยปัญหาไว้ได้อย่างไร”
“รู้สึกเป็นบุญ หัวหน้าดันให้มา ได้รับคำตอบว่าหัวใจ PCU.อยู่ที่ไหน”
ข้อเสนอแนะ... จากที่ปรึกษาในพื้นที่
“การวิจัยเชิงคุณภาพ คือพลวัตรของการเปลี่ยนแปลง”
“โครงการเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ รู้สึกดีใจ ผมไม่ได้เป็นพยาบาล เห็นการเปลี่ยนแปลง น่าจะนำไปให้ สหวิชาชีพอื่นๆได้นำไปใช้ “
“ไปปรับใช้กับการสอนนักศึกษาในการลงพื้นที่ภาคสนาม นักศึกษาบอกว่า...ทำไมอาจารย์ไม่สอนแบบนี้แต่แรก..”
ข้อเสนอแนะ... จากที่ปรึกษาหลัก
“20 โครงการนับค่าไม่ได้ หนึ่งแสนบาทถือว่าไม่แพงแสน...แต่สิ่งที่อยู่ในตัวพยาบาลที่มาร่วมโครงการมีอีกมากมาย ที่จะนำไปใช้ในเกิดประโยชน์กับประชาชน”
“ โครงการนี้เป็นหนึ่งในสามความภูมิใจที่สุดของผม ผมคิดว่าเราคงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอนาคตของประเทศชาติอย่างแน่นอน “
ข้อเสนอแนะ... จากผู้ประเมินภายนอก
“ไม่ได้มีหน้าที่ประเมิน แต่มาร่วมเรียนรู้ กับทีม อยากให้ถอดบทเรียนการดำเนินโครงการนี้”
“ ดีใจ....พยาบาลมีความสามารถ ขอให้นักวิชาการได้มาเรียนรู้กับนักปฏิบัติ ขอให้มีโอกาสสนับสนุนแก่พยาบาลภาคปฏิบัติบ้าง
การขยายเครือข่ายการเรียนรู้
ในปีที่ 2 นี้ ชมรมพยาบาลชุมชนได้ขยายเครือข่ายการดำเนินงานไปที่จังหวัดน่าน ซึ่งเริ่มต้นจากพยาบาลเพียง 1 คนที่เข้าร่วมโครงการในปีที่ 1 (คุณจินตนา แสงจันทร์ โรงพยาบาลเชียงกลาง จ.น่าน) ได้ไปนำเสนอผลงานวิจัย และมีพยาบาลที่จังหวัดน่าน ตื่นตัว สนใจ ทั้งจังหวัด นับเป็นงานวิจัยชิ้น เล็ก ๆ แต่ส่งผลสะเทือน ได้ทั้งจังหวัด ทีมน่านจึงรวมตัวกัน โดยมีพยาบาลโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งในจังหวัดน่าน โรงพยาบาลน่าน และมีน้อง ๆ จากสถานีอนามัย เข้ามาร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย กลายเป็น Node ของชมรมพยาบาลชุมชนในจังหวัดน่านที่เข้มแข็ง เข้ามาร่วมกระบวนการใช้งานวิจัยเชิงคุณภาพในการทำงานประจำ จำนวน 40 คน โดยจัดกระบวนการเช่นเดียวกัน
ในปี 2548 โดยรวมแล้ว ชมรมพยาบาลชุมชนฯ ได้สร้างเครือข่ายนักวิจัยเชิงคุณภาพ จากโรงพยาบาลชุมชนและสถานีอนามัยได้ประมา 100 คน จาก 60 สถานบริการสาธารณสุข(โรงพยาบาลชุมชน/โรงพยาลทั่วไป/สถานีอนามัย)
บทสรุป สิ่งที่เกิดขึ้นใน 2 ปี
จากกระบวนการเรียนรู้ ดังกล่าว พบว่าเกิดรูปแบบและเครื่องมือการสร้างสุขภาพในระดับพื้นที่ที่ชัดเจน มีผู้นำการสร้างสุขภาพเพื่อขับเคลื่อน งานสร้างสุขภาพในชุมชนอย่างเป็นระบบ เกิดบทบาทใหม่ของพยาบาลเพื่อ การสร้างสุขภาพเชิงรุก มีการสนับสนุนพยาบาล สหวิชาชีพและเครือข่ายในการดำเนินงานสร้างสุขภาพ ระดับจังหวัด
มีรูปแบบ / องค์ความรู้ ที่เหมาะสมเพื่อผลักดันงานสร้างสุขภาพเชิงรุก ต่อกระทรวงสาธารณสุข ต่อไป
2 ปี ที่ผ่านมา จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นอีกจุดหนึ่งของวิชาชีพพยาบาล ที่ต้องปรับบทบาทการทำงานให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไปของสังคม แต่จุดเริ่มต้นที่มีเป้าหมายที่สุขภาวะของประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก ชมรมพยาบาลชุมชนแห่งประเทศไทย เป็นชมรมวิชาชีพที่มีเป้าหมายเดียวกันในการพัฒนาวิชาชีพพยาบาลให้ตอบสนองต่อการพัฒนาสุขภาวะประชาชน โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้การพัฒนางานอย่างมีคุณภาพเช่นกัน
ไม่มีความเห็น