สาวน้อยกำหนดว่า วันที่ ๓ ก.ค. ๕๔ วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ เราจะออกจากบ้านเวลา ๙.๐๐ น. เพื่อสาวน้อยไปออกเสียงที่วัดบางพัง เสร็จแล้วจึงไป บางกอกน้อย เพื่อผมไปออกเสียงที่วัดศรีสุดาราม เหมือนอย่างทุกๆ ครั้ง วัดยังมีคุณประโยชน์ สำหรับใช้ในกิจการสาธารณะหลายอย่าง รวมทั้งการเลือกตั้ง
เรื่องอย่างนี้ สาวน้อยเป็นช้างเท้าหน้า ที่ช้างเท้าหลังอย่างผมไม่ขัด แม้จะเดาว่าเวลา ๙ น. เป็นช่วงคนมาก และเลือกตั้งครั้งนี้จะมีคนมาลงคะแนนมากเป็นพิเศษ ผมจึงเตรียม iPad เอาไปนั่งอ่านหนังสือหรือเขียนบันทึก กะว่าหากมีที่จอดรถง่ายๆ ผมจะไปนั่งรอริมแม่น้ำ อ่านหนังสือท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ ซึ่งเมื่อไปถึงวัดบางพังก็พบว่าคนมากล้นหลาม และรถก็มากด้วย เราจอดรถปะหน้ารถคันอื่น ผมจึงต้องนั่งรอในรถและพิมพ์บันทึกอยู่นี่แหละ
ผมถ่ายรูปบรรยากาศของหน่วยลงคะแนนซึ่งมี ๔ หน่วยอยู่ชิดกัน เห็นคิว ๒ คิวยาวกว่า ๒๐ คน และยังมีคนมาเพิ่มอย่างคึกคัก แสดงว่าผู้คนตระหนักในความเป็นความตายของบ้านเมือง จากการเลือกตั้งครั้งนี้ และผมก็บอกตัวเองว่า แม้ผมจะไม่ชอบพรรคใดเลย ไม่ชอบนักการเมือง ในสภาพที่เป็นอยู่ โดยผมเห็นว่าเขาเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่บ้านเมือง ผมก็ต้องเลือก เป็นการ เลือกเพื่ออนาคตของบ้านเมือง ไม่ใช่เชียร์พรรคหรือคนที่ผมเลือก ผมอยากให้รัฐธรรมนูญลดความ สำคัญของการเมืองระดับชาติ เน้นอำนาจของท้องถิ่นมากขึ้น เน้นประชาธิปไตยทางตรงมากขึ้น เหมือนกับที่คณะกรรมการปฏิรูปเสนอให้ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ
ที่จริงการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งเป็นเพียงรูปแบบเดียวของการเมือง ยังมีการเมืองในรูปแบบ อื่นๆ อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองภาคพลเมือง ที่ไม่สนใจการได้อำนาจรัฐ ผมเป็นคนหนึ่งที่ ทำงานการเมืองภาคพลเมืองอยู่อย่างขมักเขม้น เพื่อหาทางทำประโยชน์แก่บ้านเมืองจากจุดของ ตนเอง หาทางสร้างการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองไปสู่สภาพที่ดีกว่าจากจุดภารกิจที่ตนทำอยู่ และสื่อสารกับสังคมเพื่อหาทางรวมตัวกันขับเคลื่อนสังคมไปในทางที่เราเชื่อว่า จะทำให้ผู้คน อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและยั่งยืน
ผมคิดอย่างนี้ไม่ทราบว่าถูกหรือผิด โดยผมตีความว่าผมถนัดใช้อำนาจอ่อน คืออำนาจของ ความรู้และปัญญา ไม่ถนัดการแย่งชิงอำนาจตามกฎหมาย สำหรับใช้บังคับ และแย่งชิงผลประโยชน์ ผมเชื่อว่าอำนาจของความรู้และปัญญาส่งผลระยะยาวและยั่งยืน รวมทั้งงอกงามได้
การใช้อำนาจอ่อนไม่มีการเลือกตั้ง ไม่มีการหาเสียง ไม่มีการจัดตั้งพรรค ไม่มีการเล่นพวก ไม่มีการใช้เล่ห์ประชานิยม ไม่มีการคิดวลีหาเสียงแบบสั้นๆ ไร้เหตุผล แต่อำนาจอ่อนในยุคเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายรวดเร็ว น่าจะมีพลัง ยิ่งถ้าใจตรงกัน คิดตรงกัน รวมตัวกันหาทางลงมือทำ ณ จุดของตน และร่วมมือกันเป็นเครือข่าย ส่งเสียงบอกสังคมพร้อมๆ กัน ก็จะได้อำนาจเครือข่าย ในการขับเคลื่อนสังคม อำนาจเช่นนี้จะทรงพลัง หากดำรงอยู่ยาวนาน และมีการลงมือทำ ณ จุดของ บุคคลที่เป็นสมาชิกเครือข่าย
ผมนั่งรอสาวน้อยอยู่เกือบชั่วโมง ได้สังเกตเห็นคนเดินมาเป็นระลอกไม่ขาดสาย และคิว รอลงคะแนนเสียงก็ยาวขึ้น จึงลงไปสังเกตการณ์ พบว่าหน่วยที่ ๑ และ ๒ มีคนมาลงคะแนนทีละคน สองคน ไม่มีคิว ตรงหน่วยที่ ๓ และ ๔ มี ๒ คิว ซึ่งเมื่อสาวน้อยกลับออกมาก็บอกว่าจริงๆ แล้วคิว ที่ยาวนั้นเป็นของหน่วยที่ ๔ หน่วยเดียว และเพราะคิวยาวมากจึงแบ่งเป็น ๒ แถว ปัญหาทั้งหมด เกิดจาก กกต. ไม่ได้ใช้ข้อมูลในการทำงาน ยังใช้การแบ่งเขตแบบเดิมโดยไม่เอาใจใส่ว่าเขต ๔ เต็มไปด้วยหมู่บ้านจัดสรร บ้านเลขที่เดียวแตกออกเป็นร้อยหรือหลายร้อยบ้าน อย่างหมู่บ้านสิวลี ที่ผมอยู่บ้านเลขที่ ๔๗ แต่แตกย่อยออกไปเป็น ๒๑๙ บ้าน เขาก็ไม่ได้เอาไปคิดกระจายให้ จำนวนบ้านในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน นี่คือตัวอย่างของการจัดการที่ไม่ดี
พอไปที่เขตบางกอกน้อย ที่วัดศรีสุดารามมี ๓ เขตเลือกตั้ง ผมใช้เวลา ๒ - ๓ นาทีก็ลง คะแนนเสียงเรียบร้อย สาวน้อยบอกว่าลูกชายรู้จักเจ้าหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้ง เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร จึงทำงานเก่ง ต่างจากหน่วยเลือกตั้งที่วัดบางพัง เจ้าหน้าที่ทำงานไม่เป็น
เอามาบันทึกไว้ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงงานของ กกต. ในอนาคต
วิจารณ์ พานิช
๓ ก.ค. ๕๔
ที่วัดบางพัง ปากเกร็ด มี ๔ หน่วยเลือกตั้ง สังเกตได้จากป้ายผ้าขาวบอกชือหน่วย
|
มีคิวยาว ๒ คิว เฉพาะตรงหน่วยที่ ๓ และ ๔ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นของหน่วยที่ ๔ ทั้งหมด
|
ช่วงแรกๆ ราวๆ ๙.๑๐ น. มีคิวของหน่วยที่ ๒ ด้วย แต่ในไม่ช้าก็หมดไป
|
ช่วงนี้ ราว๐ ๙.๕๐ น. หน่วยที่ ๒ ไม่มีคิวแล้ว
|
หน่วยเลือกตั้งที่วัดศรีสุดาราม บางกอกน้อย ทำงานมีระบบดีมาก
|
ไม่มีความเห็น